ด้านสติปัญญาและการเรียนรู้
พาลูกเรียนรู้นอกบ้าน
-
จูงลูกเดินเล่น เวลาพาลูกออกนอกบ้าน ถ้าลูกพอก้าวเตาะแตะได้บ้าง คุณแม่ก็จูงมือลูกเดินไปด้วยกัน เท่านี้ลูกก็สนุกแล้ว ยิ่งถ้าบริเวณนั้นมีพื้นหญ้าก็ยิ่งดีเลย ชวนลูกถอดรองเท้าแล้วเดินเล่นบนหญ้า ลูกจะได้เรียนรู้พื้นผิวที่ต่างแตกต่างกัน แต่ทั้งนี้คุณแม่ต้องเช็กความปลอดภัยก่อน แล้วปล่อยให้เจ้าตัวเล็กสำรวจสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัวอย่างอิสระ
-
ลูกบอลหรรษา หาลูกบอลเล็กๆ ขนาดเหมาะกับวัยของลูกน้อยพกติดตัวไปด้วย เมื่อสถานที่เอื้อให้ลูกเล่นบอลได้ ก็ชวนลูกโยนบอล ส่ง – รับบอลกัน แค่นี้ก็ช่วยพัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อให้ลูกน้อยได้แล้ว
-
ชิงช้า และกระดานลื่น ลองพาลูกไปเล่นเครื่องเล่นสนาม อย่างชิงช้า กระดานลื่นบ้าง เพื่อให้ลูกได้เรียนรู้การเล่นที่หลากหลาย คุณแม่อาจจะจับลูกนั่งแล้วเล่นไปด้วยกันเพื่อความปลอดภัยของลูกก็ได้ หรือจะปล่อยให้ลูกเล่นเอง แต่คุณแม่ต้องดูแลอย่างใกล้ชิดเลยนะคะ
ประโยชน์ของการพาลูกออกนอกบ้าน -
การที่ลูกได้พบกับประสบการณ์ใหม่ๆ จะช่วยทำให้ลูกเกิดการเรียนรู้
-
การที่เด็กได้เล่น คลาน หรือเดินบนพื้นดิน พื้นหญ้า จะช่วยกระตุ้นประสาทสัมผัส และช่วยพัฒนากล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ให้แข็งแรง
-
ลูกจะได้ใช้ประสาทสัมผัสแทบทุกด้าน สายตาได้มองสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัว ได้ดมกลิ่นหอมของดอกไม้นานาชนิด ได้ยินเสียงของสัตว์ต่างๆ และได้สัมผัสต้นไม้ ใบไม้ หรือยอดหญ้า
-
รู้จักสังคมใหม่ๆ ในกรณีที่สถานที่ที่คุณแม่พาลูกไปนั้นมีเด็กๆ วัยรุ่นราวคราวเดียวกับลูกอยู่ด้วย
ด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว
เคล็ดลับการกระต้นลูกก้าวเดิน
สำหรับเด็กวัย 1 ขวบขึ้นไปนั้น พัฒนาการที่เห็นเด่นชัดก็คือ พัฒนาการด้านร่างกาย โดยเฉพาะกล้ามเนื้อมัดใหญ่ เด็กจะเปลี่ยนจากการคลานมาสู่การเดินเตาะแตะ แต่ยังไม่คล่อง ยังมีท่าเดินแบบขากางๆ และยังเดินได้ไม่กี่ก้าว ซึ่งเขาอาจจะต้องใช้เวลาบ้าง
ในการหัดเดินแรกๆ ลูกอาจจะเดินแล้วล้ม ล้มแล้วลุก เพื่อฝึกตัวเองให้มีความสมดุลในการทรงตัว บางครั้งลูกอาจรู้สึกไม่มั่นใจกับการก้าวเดิน เพราะกลัวจะล้มอีก คุณพ่อคุณแม่จึงต้องคอยให้กำลังใจลูก และชักชวนให้ลูกรู้สึกอยากก้าวเดิน เช่น วางของเล่นที่ลูกชอบไว้ตรงจุดที่ลูกต้องก้าวเดินไปเอามาเล่น หรือให้ลูกลากจูงของเล่นที่ลากหรือเข็นแล้วมีเสียงดัง เช่น ให้ลูกลากจูงของเล่นที่ลากหรือเข็นแล้วมีเสียงดัง โดยนำสิ่งของในบ้าน เช่น รถเล่นของลูก ตุ๊กตารูปต่างๆ นำมาร้อยเชือกแล้วให้ลูกลาก จูงเล่น จะช่วยที่จะกระตุ้นให้ลูกก้าวเดินอย่างสนุกสนานและมั่นใจได้
วัยนี้เด็กชอบเคลื่อนไหวไปมาตลอดเวลา สิ่งต่างๆ รอบตัวโดยเฉพาะของใช้ภายในบ้าน มักเป็นของเล่นที่ดึงดูดความสนใจเด็กได้ดี แม้เด็กจะมีของเล่นที่จัดหาไว้ให้แล้วก็ตาม การให้เล่นของใช้ในบ้านจึงเป็นวิธีหนึ่งที่ตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นของเด็ก ทำให้มีทักษะมากขึ้นโดยเฉพาะด้านการใช้กล้ามเนื้อ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรจัดสภาพแวดล้อมในบ้านให้มีความปลอดภัยเอื้อต่อการเรียนรู้ของเด็ก การคอยห้ามหรือเตือนไม่ให้เล่นสิ่งต่างๆ ภายในบ้านรอบตัวเด็ก จึงเป็นการยั้บยั้งกระบวนการสำรวจเพื่อเรียนรู้โดยผ่านการลองผิดลองถูกของเด็กค่ะ
ด้านภาษาและการสื่อสาร
สื่อสารสองทาง...เสริมสร้างการพูดให้ลูก
การสื่อสารแบบสองทางกับลูก เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะเสริมสร้างภาษาและการสื่อสารให้ลูกได้ เพราะนอกจากจะช่วยให้ลูกมีพัฒนาการด้านภาษาที่ดีขึ้นแล้ว การพูดคุย ยิ้ม สบตากับลูกบ่อยๆ จะช่วยเรื่องทักษะการฟัง การเล่นเสียง ใช้โทนเสียงที่หลากหลายและพูดคำที่มีความหมาย การที่ลูกได้สบตา มองหน้า มองปากจะช่วยให้ลูกพูดได้ชัด และเรียนรู้ภาษาท่าทางได้มากขึ้น และเมื่อลูกเริ่มพูดได้เป็นคำเดี่ยวๆ ก็ให้คุณพ่อคุณแม่ช่วยกันเติมต่อคำให้ยาวขึ้น
หากคุณพ่อคุณแม่ได้เอาใจใส่ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จะช่วยให้สมองของลูกน้อยได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง นั่นเพราะพัฒนาการทางภาษามีความสัมพันธ์กับระดับสติปัญญา ความฉลาด และแสดงถึงศักยภาพของสมอง เด็กที่มีพัฒนาการทางภาษาเร็ว ช่างซักถามจะสามารถต่อยอดการเรียนรู้ได้เร็ว ขณะเดียวกันการจัดบรรยากาศการเรียนรู้ที่หลากหลาย เช่น เล่านิทาน อ่านหนังสือ พาไปตามแหล่งเรียนรู้นอกบ้าน จะช่วยให้ลูกได้เรียนรู้ ได้ประสบการณ์แปลกใหม่เพิ่มขึ้นด้วย
ด้านอารมณ์และสังคม
คำชมกับพัฒนาการทางอารมณ์ของลูก
ลูกน้อยในวัยเตาะแตะนี้ แม้ว่าเขาจะยังไม่รู้ภาษาดีนัก แต่เวลาที่เขาทำอะไรบางอย่างได้สำเร็จ แล้วคุณแม่ยิ้มพร้อมกับชมคำว่า “เก่งมากจ้ะ” และปรบมือให้ ลูกจะรับรู้ว่าสิ่งที่เขาทำสร้างความพอใจให้แก่คนรอบข้าง ลูกจะยิ้มตอบ ปรบมือตาม หรือแสดงกิริยาที่แสดงให้รู้ว่าเขาดีใจมากที่ได้รับคำชม นั่นแสดงให้เห็นว่าคำชมมีผลต่อความสุขและความฉลาดทางอารมณ์ของเด็กค่ะ
ดังนั้น คุณแม่ก็ควรมอบความสุขให้ลูกด้วยการพูดชื่นชมเขาบ่อยๆ ในเวลาที่เขาทำสิ่งดีๆ เช่น เขาสามารถทานอาหารได้หมด หรือเอาลูกบอลมาใส่กล่อง และอีกมากมายที่ลูกควรได้รับการยืนยันจากคำพูดของคุณแม่ว่านั่นเป็นเรื่องถูกต้องแล้ว และคุณแม่ก็ภูมิใจจริงๆ ที่ลูกทำอย่างนั้น โดยเฉพาะเมื่อเขาทำได้ดีในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน คุณแม่ต้องบอกให้เขารู้เพราะถ้าไม่บอกลูกอาจจะไม่รู้และเพิกเฉยที่จะทำสิ่งนั้นอีกในครั้งต่อๆ ไป
การชมของคุณแม่ที่จะประทับอยู่ในหัวใจของลูกไปเนิ่นนานคือคำชมที่มีขึ้นทันทีเมื่อเขาทำสิ่งดีๆ อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปนานแล้วค่อยเอาเรื่องนั้นกลับมาพูด เพราะบางทีก็เป็นเหตุการณ์ที่ลูกลืมรายละเอียดและความคิดในขณะนั้นไปแล้ว...อย่าลืมชมลูกเมื่อเขาทำสิ่งเราต้องการให้ทำได้สำเร็จนะคะ