ด้านสติปัญญาและการเรียนรู้
ชวนคุย ช่วยพัฒนาความจำลูก
เมื่อลูกเริ่มพูดได้คล่องมากขึ้น ความจำก็เริ่มมีมากขึ้นตามไปด้วย คุณแม่สามารถช่วยกระตุ้นและพัฒนาความจำของลูกได้ ด้วยวิธีการง่ายๆ นั่นคือ ”การคุย”
การที่คุณแม่ชวนลูกพูดคุยเล่าเรื่องราวต่างๆ ทั้งคุณแม่เล่าเอง หรือจะให้ลูกเป็นฝ่ายเริ่มต้นเล่าก็เป็นเรื่องดี เพราะการเล่าเรื่องจะช่วยพัฒนาความจำได้มาก เด็กจะจดจำว่าจะเริ่มต้นอย่างไร การลำดับความ จนกระทั่งถึงตอนจบ เด็กในวัยนี้จะถ่ายทอดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วได้ เช่นอาจจะลองให้ลูกเล่าเรื่องไปเที่ยวทะเลครั้งล่าสุด แกจะทบทวนว่าแกไปกับใครมาบ้าง ใส่ชุดว่ายน้ำสีฟ้า เล่นตักทรายและเล่นน้ำทะเลกับคุณแม่
เด็กวัยนี้จะเริ่มจดจำสิ่งที่เป็นนามธรรม เช่น เรื่องของสี การนับหนึ่งถึงสิบ ตัวอักษร ก-ข-ค หรือ ABC โดยเก็บข้อมูลแบบความจำระยะสั้น เมื่อเรียกใช้ก็ต้องทบทวนความจำกันหน่อย ซึ่งนานวันเข้ากระบวนการทวนความจำก็อาจหายไปได้ เมื่อใช้สีฟ้า เด็กก็พูดออกมาได้โดยอัตโนมัติ ไม่ต้องนึกว่าสีนี้เรียกว่าอะไร เด็กจะเริ่มจำเรื่องราวที่ซับซ้อนได้ โดยอาศัยการซ้ำ คุณแม่สามารถช่วยได้โดยการเล่าเรื่องซ้ำๆ การเล่าซ้ำๆ ตัวอย่างที่ชัดเจน คือ การเล่านิทานก่อนนอน ลูกอาจจะขอให้เล่าอยู่เรื่องเดียว นั่นเป็นการเรียนรู้ผ่านการจำของเขาค่ะ
ด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว
เล่นยืนทรงตัว เคล็ดลับฝึกกล้ามเนื้อลูก
เคล็ดลับฝึกกล้ามเนื้อลูกให้แข็งแรงสามารถทำได้ผ่านการชวนลูกเล่นยืนทรงตัว ดังนี้
- ยืนตรงตัวท่านกกระสา
-
ยืนตรง ไหล่ผึ่ง วางมือสองข้างไว้ที่เอว
-
ค่อยๆ ยกเท้าขวาขึ้นมา พักไว้ที่ด้านหน้าขาซ้าย
-
พยายามทรงตัวให้ได้นานที่สุด โดยคุณแม่อาจจะช่วยนับ 1 2 3
-
จากนั้นค่อยสลับข้างทำใหม่อีกครั้ง
-
เคล็ดลับความสนุก : การที่ลูกพยายามที่จะทรงตัวให้นานที่สุดจะเป็นเรื่องสนุกสำหรับเขา ในรอบแรกๆ คุณแม่อาจกำหนดระยะเวลาไว้แค่นับ 1 2 เมื่อลูกทำได้ ก็ชมเขา แล้วชวนลองทำใหม่ ดูซิว่า รอบนี้จะทำ (นับ) ได้นานเท่าไร หรืออาจจะชวนกันเล่น เพื่อหาวิธีใหม่ๆ ที่จะช่วยให้สามารถยืนได้นานขึ้น เช่น อาจลองกางแขนออก หรือชูแขนขึ้นไปด้านบน ลองดูว่าวิธีไหนจะช่วยให้ยืนได้นานกว่ากัน ทำแบบนี้ลูกๆ จะสนุก เพราะเหมือนกับการเล่นเกมนั่นเองค่ะ
ด้านภาษาและการสื่อสาร
เล่นพูดโทรศัพท์จ๊ะจ๋า พัฒนาการพูดคุยของลูก
เด็กวัย 2 ขวบขึ้นไป พัฒนาการทางภาษาพัฒนามากขึ้น ทั้งเรื่องการใช้ภาษา คือ การพูด และความเข้าใจภาษาที่ได้ยิน เขาสามารถใช้ภาษาสร้างบทสนทนาเลียนแบบบทสนทนาที่ตนเองเคยได้ยินจากผู้ใหญ่ในชีวิตประจำวันได้แล้ว เช่น ชวนน้องกระต่ายกินข้าว โทรศัพท์ชวนเพื่อนมาเล่น เป็นต้น
คุณแม่อาจชวนพูดคุยโทรศัพท์ เหมือนที่เขาเคยเห็นผู้ใหญ่คุยกัน ถามคำถามให้เขาตอบ เช่น กินข้าวหรือยัง กินกับอะไร ไปเที่ยวไหน ทำอะไรมาบ้าง เป็นต้น นอกจากนี้ คุณพ่อคุณแม่ยังสามารถตรวจสอบความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการลูก ด้วยการบอกให้ลูกเล่นคุยโทรศัพท์กับคุณพ่อคุณแม่ โดยที่ไม่มีอุปกรณ์ให้ ดูว่าลูกจะแก้ปัญหาอย่างไร เด็กบางคนอาจจะยกบล็อกไม้ ขวดน้ำ ฯลฯ มาพูดแทนโทรศัพท์ เป็นต้น
ด้านอารมณ์และสังคม
ฝึกหนูเรียนรู้การปฏิเสธ
การรู้จักปฏิเสธเป็นทักษะทางสังคมอย่างหนึ่ง คุณแม่จึงมีบทบาทสำคัญที่ช่วยจะสอนลูกให้รู้จักการปฏิเสธ ด้วยการสอนให้ลูกรู้จักแยกแยะได้ว่าอะไรคือสิ่งที่ดีควรทํา อะไรไม่ดีเป็นอันตรายควรหลีกเลี่ยง อาจใช้นิทานเป็นสื่อช่วยสอน ซึ่งพฤติกรรมของตัวละครในนิทานจะช่วยให้ลูกเข้าใจและจดจําได้ง่าย หรือคุณแม่อาจสมมติเหตุการณ์ขึ้นมา เช่น ลองคุยกับลูกดูว่าหากมีคนที่ไม่รู้จักเดินเข้ามาและให้ขนมกิน ถามลูกว่าควรทำอย่างไร สอนให้ลูกพูดคำว่าไม่ พร้อมกับบอกเหตุถึงการกระทำเช่นนั้น ว่าเพื่อความปลอดภัยของลูกเอง ไม่ควรที่จะรับหรือไปไหนกับคนแปลกหน้า
คุณแม่ไม่ควรบังคับให้ลูกกอดหรือหอมใครที่เขาไม่ต้องการ แม้คนนั้นจะเป็นญาติหรือเพื่อนสนิทของคุณแม่ ลูกจะกอดหรือหอมใครหรือไม่ ปล่อยให้เป็นความต้องการของลูกเองจะดีกว่า และหากลูกมีท่าทีปฏิเสธหรือเอ่ยปาก “ไม่” ด้วยตัวเองก็อย่าได้ตำหนิหรือต่อว่าเขานะคะ
แม้ว่าการสอนลูกให้รู้จักปฏิเสธนั้น จะเป็นเพียงการสมมติหรือจำลองสถานการณ์ให้ลูกฟังเท่านั้น แต่เมื่อลูกเติบโตขึ้นและได้พบเจอกับเหตุการณ์จริง สิ่งที่คุณแม่สอนจะทำให้ลูกนึกถึง และโต้ตอบด้วยการกระทำและคำพูดของตนเอง ลูกจะพร้อมปฏิเสธได้อย่างทันท่วงที ซึ่งการสอนในเรื่องนี้ ไม่ควรที่จะทำเพียงหนึ่งหรือสองครั้งเท่านั้น แต่เป็นเรื่องที่ควรนำมาคุยและฝึกกันบ่อย ๆ เมื่อมีโอกาสค่ะ