สังเกตอย่างไรว่าใกล้ถึงเวลาคลอด?
1. การเคลื่อนตัวลงของท้อง
-
คุณแม่จะสังเกตเห็นลูกเริ่มเคลื่อนตัวลงยังท้องส่วนล่าง
-
การหายใจทำได้สะดวกมากขึ้น
-
คุณแม่อาจเริ่มรู้สึกถึงหัวของลูกบริเวณกระดูกเชิงกราน
2. เข้าห้องน้ำถี่มากขึ้น
-
เพราะลูกเริ่มเคลื่อนตัวลงมาที่ท้องด้านล่างซึ่งใกล้กับกระเพาะปัสสาวะคุณแม่จะรู้สึกปวดเข้าห้องน้ำถี่กว่าเดิม
3. การบีบตัวของมดลูกที่ถี่ขึ้น และรุนแรงกว่าเดิม
-
การบีบตัวจะรุนแรงขึ้น ความรู้สึกเหมือนปวดประจำเดือน
-
ปากมดลูกบางลง
-
อาจเกิดขึ้น 1-2 อาทิตย์ก่อนคลอด
4. การขยายตัว
-
ปากมดลูกจะเริ่มบางลง อ่อนตัว และขยายกว้างขึ้น
5. อาจมีเลอะบ้าง
-
คุณแม่อาจพบว่ามีเมือกสีขาว ที่เรียกว่า Mucus Plug ออกมาจากช่องคลอด
(Mucus plug คือเนื้อเยื้อหรือเมือกที่ปิดปากมดลูกไว้ป้องกันการติดเชื้อจากภายนอก)
-
อาจมี Mucus Plug ออกมาเพียง 1 วันหรืออาจใช้เวลาหลายวันถึงจะหมด
-
โดยทั่วไปแล้วจะมีสีน้ำตาลอ่อนๆ ชมพู หรือแดง
6. เกิดอาการท้องเสีย
-
เกิดเนื่องจากฮอร์โมนช่วงใกล้การคลอด
-
อาจร่วมกับอาการเวียนหัว คลื่นไส้
การบีบตัวที่เกิดขึ้นเป็นสัญญาณเตือน จริงหรือเปล่า?
*การเจ็บเตือนกับการเจ็บคลอด จะแยกออกจากกันได้อย่างไร?
-
การเจ็บเตือนหรือ Braxton Hicks contractions
-
โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการบีบตัวที่ไม่เจ็บปวด
-
มักเกิดขึ้นในช่วงเริ่มต้นของการตั้งครรภ์
-
ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ
-
อาจเกิดถี่ขึ้นและรุนแรงขึ้น
-
โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการบีบตัวบริเวณท้องส่วนหน้าหรือบริเวณกระดูกเชิงกราน
-
-
การเจ็บคลอด
-
เจ็บเป็นช่วงๆ สม่ำเสมอและแต่ละครั้งนานประมาณ 30-70 วินาที
-
เจ็บถี่ขึ้นและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
-
บริเวณที่เจ็บคลอดคือท้องทั้งหมด
-
อาจเริ่มจากการเจ็บบริเวณหลังและไล่ขึ้นมาที่ท้อง หรืออาจเป็นในทางกลับกัน
-
เมื่อไรควรเข้ารับการชักนำคลอด (Induction Labor)
-
หากผ่านกำหนดคลอดแล้วถึง 2 อาทิตย์แต่คุณแม่ก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะคลอด การชักนำคลอดจึงเป็นทางออก
ในปัจจุบันจะเริ่มการชักนำคลอดเมื่อเข้าสู่สัปดาห์ที่ 41 งานวิจัยชี้ว่า การชักนำคลอดหลังจากผ่านครบสัปดาห์ที่ 41 แล้วนั้น มีผลดีมากกว่าผลเสีย
-
สัปดาห์ที่ 42 ควรเป็นสัปดาห์สุดท้ายในการตั้งครรภ์
-
-
เมื่อถุงน้ำคร่ำแตกแล้วแต่คุณแม่ยังไม่รู้สึกถึงการบีบรัด ตัวของมดลูก
-
เมื่อเกิดการติดเชื้อบริเวณปากมดลูก
-
เด็กมีพัฒนาการที่ผิดปกติ
-
น้ำหล่อเลี้ยงเด็กมีน้อยกว่าปกติ
-
รกบางส่วนหรือทั้งหมดหลุดจากมดลูกก่อนเวลา
-
เมื่อการตั้งครรภ์ของคุณถูกจัดว่ามีความเสี่ยงสูง
อาการเหล่านี้จะถูกระบุได้เมื่อคุณแม่เข้าพบสูตินารีแพทย์ แต่คุณแม่ควรบอกเล่าอาการผิดปกติอื่นๆให้แพทย์ฟังด้วย เช่น เลยกำหนดคลอด
การชักนำคลอด ทำได้อย่างไร?
กระบวนการที่สูตินารีแพทย์จะแนะนำนั้นโดยทั่วไปแล้วคือ
-
เริ่มด้วยการทาน โพรสตาแกลนดิน (Prostaglandin) หรือวิธีที่มีประสิทธิภาพกว่าคือ การรับผ่านช่องคลอดโดยตรง
-
หากยังไม่เกิดผลการฉีด ปิโตซิน (Pitocin) หรือให้ยาจะเป็นทางเลือกถัดไป
-
ปิโตซิน คือสารอ๊อกซิโทซินที่มนุษย์สร้างขึ้น
-
-
จากนั้นการบีบตัวเจ็บคลอดจะเริ่มขึ้น พร้อมๆ กับหัวใจของทารกที่เต้นชัดเจนขึ้น และอาการอื่นๆตามมาเช่น ปากมดลูกที่บางตัวลงเพื่อรับการคลอด
ดาวน์โหลดฟรี! แอพพลิเคชั่นเพื่อแม่ตั้งครรภ์
หากคุณแม่ต้องการข้อมูล เคล็ดลับเพิ่มเติมเกี่ยวกับพัฒนาการของทารกตลอดช่วงระยะเวลาการตั้งครรภ์ คำแนะนำด้านโภชนาการ และรับสิทธิประโยชน์เพื่อลูกน้อยตั้งแต่ในครรภ์จนถึง 3 ปี คุณสามารถสมัครสมาชิก Enfa Smart Club ผ่านแอพพลิเคชั่นเพื่อแม่ตั้งครรภ์ฟรี ที่นี่ Enfa A+ Genius Baby
References:
-
1 Glade B Curtis & Judith Schuler, Your Pregnancy week By Week. Philadelphia: Da Capo Press, 2016.
-
2 Inducing labor: When to wait, when to induce. (n.d.). Retrieved March 17, 2017, from http://www.mayoclinic.org/healthy-lifestyle/labor-and-delivery/in-depth…
-
3 8 Signs That Labor is Near. (2015, February 02). Retrieved March 17, 2017, from http://www.askdrsears.com/topics/pregnancy-childbirth/ninth-month/8-sig…
-
4 Thorbiörnson, A. et al (2016). Oral versus vaginal prostaglandin for labor induction. The Journal of Maternal-Fetal & Neonatal Medicine, 30 (7), 789-792.