นมแม่เป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับทารก เอนฟาสนับสนุนให้คุณแม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพียงอย่างเดียวอย่างน้อย 6 เดือนไปจนถึง 2 ปี หรือนานกว่าตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) Enfa Smart Club พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลคุณแม่และลูกน้อย ด้วยการมอบข้อมูลโภชนาการและพัฒนาการลูกน้อยแต่ละวัย ที่เป็นประโยชน์และเชื่อถือได้ผ่านเว็บไซต์ enfababy.com

เลี้ยงลูกให้ฉลาด คิดเป็นและอารมณ์ดี ต้องเลี้ยงยังไง

Enfa สรุปให้

  • เลี้ยงลูกให้ฉลาด คุณพ่อคุณแม่ต้องใส่ใจกับปัจจัยพื้นฐานได้แก่ โภชนาการที่ดี การนอนหลับที่ดี สิ่งแวดล้อมที่ดี รวมไปถึงการมีแบบแผนในการเลี้ยงลูกที่ดีและรับกับยุคสมัยด้วย
  • อยากให้ลูกฉลาดตั้งแต่อยู่ในท้อง คุณแม่จะต้องกินอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ ผ่อนคลายความเครียด หมั่นออกกำลังกาย หลีกเลี่ยงบุหรี่ แอลกอฮอล์ และสิ่งเสพติด
  • อยากให้ลูกฉลาดต้องกินอะไรถึงจะดี? ควรดูแลให้ลูกกินอาหารที่มีประโยชน์ ครบทั้ง 5 หมู่ มีส่วนช่วยเสริมสร้างสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง และดีต่อการทำงานของระบบประสาทและสมอง

เลือกอ่านตามหัวข้อ

เด็กทุกคนมีศักยภาพที่จะเติบโตเป็นเด็กที่ฉลาดและมีความสามารถได้ หากได้รับการสนับสนุน อบรมเลี้ยงดู อยู่ในสภาพแวดล้อมที่หมาะสม เอื้อต่อการเรียนรู้และพัฒนาการที่สมวัย ซึ่งนั่นหมายความว่าพ่อกับแม่ เป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดในกระบวนการที่จะช่วยสร้างเสริมความฉลาดให้กับลูก บทความนี้จาก Enfa จะพาคุณพ่อคุณแม่มารู้จักกับวิธีเลี้ยงลูกให้ฉลาดอย่างมีประสิทธิภาพค่ะ

 

15 วิธีเลี้ยงลูกให้ฉลาด คิดเป็น และอารมณ์ดี


เด็กจะเติบโตมาเป็นเด็กฉลาดได้นั้น ต้องได้รับการอบรมเลี้ยงดูอย่างเหมาะสมกับพัฒนาการ เพื่อกระตุ้นให้เด็กได้ใช้ศักยภาพในการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยคุณพ่อคุณแม่สามารถใช้วิธีเลี้ยงลูกให้ฉลาด เพื่อเลี้ยงลูกให้เป็นคนเก่ง เลี้ยงลูกให้คิดเป็น ด้วยแนวทาง 15 วิธีเลี้ยงลูกให้ฉลาด อารมณ์ดี ดังนี้

1. ให้ลูกได้มีเวลาเล่นได้อย่างอิสระ

เด็กสามารถเรียนรู้ได้ดีที่สุดผ่านการเล่นสนุก ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรให้ลูกได้มีเวลาเล่นสนุกอย่างอิสระตามที่ใจเขาต้องการ คำว่าอิสระในที่นี้คืออิสระจริง ๆ ไม่ว่าลูกอยากจะเล่นอะไรที่เหมาะสมกับวัยของเขา คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรห้ามหรือมีกฎเกณฑ์มากจนเกินไป การยืดหยุ่นให้ลูกได้ทำในสิ่งที่ชอบ ได้เล่น ได้ผ่อนคลาย จะช่วยให้เด็กไม่เกิดความเครียด และเสริมศักยภาพการเรียนรู้ของเด็กให้ดีขึ้นได้

2. อ่านหนังสือให้ลูกฟังตั้งแต่ยังเล็ก

การอ่านหนังสือนั้นเริ่มได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี บ่อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดีมาก หากเริ่มตั้งแต่ตอนที่ลูกยังอยู่ในท้องแม่ก็จะยิ่งดีเข้าไปใหญ่ พลังแห่งการอ่านมีประสิทธิภาพมากกว่าที่คิด เพราะจะช่วยส่งเสริมทักษะด้านภาษาและการสื่อสาร เพิ่มคลังคำศัพท์กระตุ้นจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ และทักษะสติปัญญา มากไปกว่านั้น ยังปลูกฝังให้ลูกเป็นคนไขว่คว้าหาความรู้ตั้งแต่ยังเล็กด้วย

3. รับฟังลูกอย่างตั้งใจ

การฟัง เป็นบ่อเกิดของพัฒนาการต่าง ๆ มากมาย เด็กอาจมีข้อสงสัยที่อยากรู้ หากคุณพ่อคุณแม่หยุดฟังเขา ก็จะเปิดโอกาสให้ลูกกล้าคิด กล้าแสดงความเห็น กล้าที่จะพูดกับพ่อแม่ตรง ๆ ทั้งยังเสริมสร้างความอบอุ่นและพื้นที่ปลอดภัยในครอบครัวด้วย

มากไปกว่านั้น คุณพ่อคุณแม่ยังจะได้ช่วยลูกแก้ไขปัญหา ช่วยหาคำตอบเพื่อไขข้อข้องใจ เป็นการกระตุ้นการเรียนรู้ของลูกได้อย่างดีทีเดียว โดยเริ่มต้นจากการฟังลูกเท่านั้นเอง

4. กระตุ้นประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของลูก

ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของลูก คือ การมองเห็น การฟัง การได้กลิ่น การลิ้มรส การสัมผัส คุณพ่อคุณแม่ควรให้ลูกได้เล่นสนุก ได้ทำกิจกรรม ได้พบเจอสิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอเพื่อกระตุ้นประสาทสัมผัสของลูก โดยไม่ต้องนึกกลัวว่าจะสกปรก กลัวลูกจะป่วย หรือกังวลไปก่อนว่าลูกไม่น่าจะชอบ

ควรเปิดโอกาสให้ลูกได้ทดลองทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเองก่อน การตั้งกรอบความห่วงใยมากเกินไป อาจไปขัดขวางพัฒนาการด้านประสาทสัมผัสของลูก ทำให้ลูกไม่ได้เห็นภาพที่หลากหลาย สีสันที่แตกต่าง รสชาติแปลกลิ้น เสียงที่ไม่คุ้นหู รูปร่างที่ไม่คุ้นตา

5. ใส่ใจกับพัฒนาการทางร่างกายของลูก

คุณพ่อคุณแม่ต้องติดตามพัฒนาการด้านร่างกายของลูกเสมอว่าลูกผอมไปไหม น้ำหนักตัวเกินเกณฑ์หรือเปล่า นอนหลับพักผ่อนเพียงพอหรือไม่ เพราะถ้าหากร่างกายของลูกไม่แข็งแรง เจ็บป่วยบ่อย ๆ ก็อาจจะไปขัดขวางโอกาสในการเรียนรู้ของลูก ทำให้เรียนไม่ทันเพื่อน ปรับตัวกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ยากขึ้น หมั่นดูแลให้ลูกกินอาหารที่มีประโยชน์ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นปัจจัยสำคัญในการเสริมสร้างสมองที่ดี

6. ให้ลูกทำผิด ทำพลาดบ้าง

บนโลกใบนี้ไม่มีใครที่ไม่เคยทำผิดพลาด แม้แต่คุณพ่อคุณแม่เองก็เคยทำสิ่งต่าง ๆ ผิดพลาดเช่นกัน หากวันหนึ่งลูกจะทำผิดไปบ้าง  ก็ไม่ควรต้องตำหนิติเตียนอย่างรุนแรง แต่ก็ไม่ควรโอ๋หรือเข้าข้างกับความผิดของลูก ชี้แนะวิธีแก้ไขที่เหมาะสมกับลูก หรืออาจเปิดโอกาสให้ลูกได้เรียนรู้จากความล้มเหลวของตัวเอง เพราะความล้มเหลวถือเป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้คนเราประสบความสำเร็จได้

7. ออกกำลังกายบ่อย ๆ เคลื่อนไหวร่างกายให้มาก

ถ้าอยากเลี้ยงลูกให้ฉลาด ก็ต้องพาลูกไปทำกิจกรรมเรียกเหงื่อเป็นประจำ เพราะการออกกำลังกายไม่เพียงแต่ช่วยให้ร่างกายของลูกแข็งแรงเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เลือดลมไหลเวียนไปยังสมองได้ดี ช่วยกระตุ้นการทำงานของสมอง ซึ่งเมื่อสมองมีสมรรถนะในการทำงานที่ดี ก็จะช่วยให้ลูกสามารถเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง

8. ใช้เวลากับลูกให้เพียงพอและสม่ำเสมอ

เด็กเก่งอย่างเดียว แต่ล้มเหลวมีให้เห็นเยอะมาก และส่วนใหญ่มีปัจจัยมาจากพื้นฐานครอบครัวที่ไม่ได้อบอุ่น พ่อแม่ไม่มีเวลาให้ลูก การใช้เวลากับลูกไม่ว่าจะเป็นกินข้าวเย็นด้วยกันทุกวัน ดูหนังด้วยกันทุกสัปดาห์ เล่นเกมด้วยกัน ออกกำลังกายด้วยกัน กิจกรรมง่าย ๆ เหล่านี้จะช่วยให้ครอบครัวอบอุ่น ส่งเสริมทักษะการสื่อสารที่ดี และยังกระตุ้นพัฒนาการด้านอารมณ์และสังคมของลูกให้ดีขึ้นอีกด้วย สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นส่วนสำคัญของการเลี้ยงลูกให้ฆลาด

9. ชื่นชมลูกเมื่อประสบความสำเร็จ แม้เป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ

คุณพ่อคุณแม่ควรเปลี่ยนความคิดที่ว่าถ้าชมบ่อย ๆ จะทำให้ลูกเหลิง เพราะการชื่นชมไม่มีส่วนไหนจะส่งผลเสียได้เลยค่ะ เด็กที่ไม่ได้รับการชื่นชมเลยจากพ่อแม่ มีแนวโน้มที่จะเติบโตมาพร้อมความเก็บกดเพราะรู้สึกว่าทำได้เท่าไหร่ก็ยังไม่ดีพอ

คุณพ่อคุณแม่ควรชื่นชมลูกบ่อย ๆ แม้สิ่งที่ลูกทำได้จะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ก็ช่วยสร้างความมั่นใจและกำลังใจในการเรียนรู้ที่ดี แม้ว่าลูกอาจจะพลาดหวัง แต่ก็ต้องชื่นชมในความพยายามทั้งหมดที่ลูกได้ทำมา สิ่งนี้จะปลูกฝังให้ลูกเป็นคนที่ล้มแล้วลุกได้ไว การรู้จักล้มแล้วลุกถือเป็นทักษะสำคัญที่จะนำลูกไปสู่ความสำเร็จได้ในอนาคต

10. เลิกเป็นพ่อแม่ที่จุ้นจ้าน

อย่าใช้ข้ออ้างความเป็นห่วงเข้าไปก้าวก่ายชีวิตของเด็กมากจนเกินไป แม้ลูกจะยังเด็ก แต่เด็กก็จำเป็นจะต้องได้รับพื้นที่และอิสรภาพของตัวเองเช่นกัน เปิดโอกาสให้ลูกได้ใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง และมีความสุข ย่อมต้องดีกว่าที่ลูกจะเป็นเด็กเก่งแต่ไม่มีความสุขกับชีวิตเลยเพราะพ่อกับแม่ตีกรอบไปเสียทุกอย่าง

11. ใส่ใจกับโภชนาการของลูก

อาหารการกิน ถือเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญมากที่จะปูทางให้ลูกสมองดี มีสติปัญญาที่ดี ดูแลให้ลูกได้กินอาหารที่หลากหลาย ครบทั้ง 5 หมู่ เพราะอาหารที่ดีไม่เพียงช่วยให้ลูกสุขภาพดีเท่านั้น แต่ยังกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทและสมองของลูกได้ดีอีกด้วย

12. ไม่ให้ลูกเล่นกับหน้าจอก่อนวัยอันควร

เด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ไม่ควรเล่นสมาร์ตโฟน หรือดูโทรทัศน์ หรือคอมพิวเตอร์ เพราะกิจกรรมเหล่านี้ส่งผลเสียต่อพัฒนาการทางสมองของเด็ก และเด็กมีโอกาสจะโตมาเป็นออทิสติกเทียมอีกด้วย

เมื่อลูกอายุ 2-5 ปี ก็ไม่ควรให้ลูกใช้เวลากับหน้าจอเกิน 1 ชั่วโมงต่อวัน ควรหากิจกรรมอื่น ๆ ทำร่วมกันกับลูก เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกได้เรียนรู้และทำกิจกรรมเสริมพัฒนาการที่สมวัย ป้องกันไม่ให้ลูกมีพัฒนาการที่เชื่องช้า ลดความเสี่ยงพัฒนาการเชาวน์ปัญญาไม่ดี

13. ใส่ใจกับการนอนหลับของลูก

ดูแลให้ลูกนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอในทุก ๆ วัน พยายามทำกิจกรรมในบ้านให้เป็นกิจวัตร เช่น เมื่อถึงเวลา 2-3 ทุ่ม ทุกคนในบ้านควรจะต้องเข้านอน การนอนหลับที่เพียงพอสัมพันธ์กับการทำงานของสมองที่ดี สามารถคิดวิเคราะห์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

14. สนับสนุนในสิ่งที่ลูกทำได้ดีโดยไม่ต้องฝืน

คุณพ่อคุณแม่ควรเข้าใจว่าศักยภาพของเด็กแต่ละคนนั้นต่างกัน ลูกเราอาจจะไม่เก่งด้านนั้น แต่อาจจะเก่งด้านอื่นก็ได้ สังเกตทักษะและความโดดเด่นของลูกให้ถูกจุด และเลือกสนับสนุนเขาให้ตรงกับทักษะและความสามารถที่เขามี ลูกจะกลายเป็นเด็กที่ฉลาดและมีความสุขได้ไม่ยาก

ซึ่งดีกว่าพ่อแม่ไปฝืนสนับสนุนในสิ่งที่เขาไม่ได้เก่งและไม่ได้ชอบจริง ๆ เพราะคุณพ่อคุณแม่ก็จะเสียใจที่ลูกทำไม่ได้ตามความคาดหวังของตัวเอง ส่วนลูกก็จะไม่มีความสุขเพราะไม่ได้ทำในสิ่งที่ชอบและยังต้องทำให้พ่อแม่ผิดหวังอีกด้วย

15. ให้เด็กได้เติบโตตามวัย ไม่จำเป็นต้องเน้นวิชาการตั้งแต่ยังเล็ก

เด็กเรียนรู้ได้ดีที่สุดผ่านการเล่น การทำกิจกรรมสนุก ๆ การเริ่มเรียนรู้ด้านวิชาการต่าง ๆ ในวัยเด็กเล็กนั้นถือว่าไม่จำเป็น และไม่ได้เป็นเครื่องการันตีด้วยว่าลูกจะโตมาแล้วเป็นเด็กเก่ง เด็กฉลาด แต่จะปิดโอกาสไม่ลูกได้เรียนรู้และทำกิจกรรมเสริมพัฒนาการที่สมวัย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ดีต่อพัฒนาการของเด็กมากกว่าการไปนั่งปลูกฝังเรื่องวิชาการก่อนวัยอันควรเสียอีก

 

อยากให้ลูกฉลาดตั้งแต่อยู่ในท้อง ควรเริ่มต้นอย่างไร


อยากให้ลูกฉลาดตั้งแต่อยู่ในท้อง คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลตนเองในทุก ๆ เรื่อง ดังนี้

  • ใส่ใจกับโภชนาการ กินแต่อาหารที่ดีมีประโยชน์ เพื่อให้ลูกน้อยในครรภ์ได้รับสารอาหารที่ดีต่อการสร้างเซลล์สมอง เป็นหนึ่งในการปูพื้นฐานลูกฉลาดที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด
  • ทำจิตใจไม่สบาย อย่าเครียด อย่าวิตกกังวล เพราะเมื่อคุณแม่เข้าสู่ภาวะเครียด จะทำให้ฮอร์โมนในร่างกายไม่สมดุล รกทำงานได้น้อยลง ทำให้การลำเลียงออกซิเจนไปยังสมองของลูกลดลง ส่งผลเสียต่อโครงสร้างการทำงานและการสร้างเซลล์สมอง
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ซึ่งส่งทั้งออกซิเจนและสารอาหารไปยังสมองของทารกในครรภ์ ช่วยให้ลูกน้อยมีสมองที่สมบูรณ์ สามารถเรียนรู้ทักษะต่าง ๆ ได้ดีเมื่อโตขึ้น
  • พูดกับลูกในท้องบ่อย ๆ อ่านหนังสือให้ฟัง เปิดเพลงให้ฟัง กิจกรรมเหล่านี้ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทและสมองของทารกได้ตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์
  • หลีกเลี่ยงบุหรี่ แอลกอฮอล์ และสารเสพติด สารเคมีอันตรายเหล่านี้นอกจากจะส่งผลเสียต่อสุขภาพของแม่แล้ว ยังมีส่วนทำลายสมองและเซลล์ต่าง ๆ ของทารกในครรภ์ หรืออาจก่อให้เกิดการแท้งได้อีกด้วย

 

อยากให้ลูกฉลาดต้องกินอะไร


อยากให้ลูกฉลาดต้องกินอะไร คำตอบนั้นง่ายมาก ๆ เลยค่ะ เด็กควรจะต้องได้กินอาหารที่หลากหลายและครบทั้ง 5 หมู่ ประกอบไปด้วยเนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ ธัญพืชต่าง ๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ต่อร่างกายและช่วยเสริมสร้างการทำงานของสมองด้วย

มากไปกว่านั้น คุณพ่อคุณแม่ยังสามารถเลือกวัตถุดิบอาหารที่ดีต่อสมองมาทำอาหารให้ลูกกินได้ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็น

  • ไข่ มีโคลีนซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบประสาทและสมอง
  • เบอร์รีต่าง ๆ มีสารแอนโธไซยานินซึ่งมีส่วนช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังสมอง มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ และส่งเสริมการสร้างเซลล์ประสาทใหม่
  • อาหารทะเล มีโอเมก้า 3 ซึ่งช่วยเสริมสร้างการทำงานของสมอง กระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ และยังมีไอโอดีน ที่ช่วยสร้างฮอร์โมนไทรอยด์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสมอง
  • ส้ม มีฟลาโวนอยด์สูง ช่วยเพิ่มการทำงานของเส้นประสาทและการไหลเวียนของเลือดไปยังสมอง ช่วยส่งเสริมการทำงานของสมองได้
  • ธัญพืช ถั่วต่าง ๆ มีทั้งไขมันดี โปรตีน และไฟเบอร์ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีส่วนสำคัญต่อการสร้างเซลล์สมองที่ดี ช่วยกระตุ้นประสิทธิภาพการเรียนรู้ของลูก

 

เลี้ยงลูกให้ดี 3 ปีแรก สำคัญอย่างไร


สำหรับเด็ก 3 ปีแรกนั้น ให้คุณพ่อคุณแม่ท่องเอาไว้ในใจเลยว่า การเล่น คือการเรียนรู้ที่ดีที่สุดของลูก พยายามหากิจกรรม ของเล่น หรือพาลูกออกนอกบ้านเพื่อไปทำกิจกรรมใหม่ ๆ ไปเที่ยวที่ใหม่ ๆ สิ่งเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นพัฒนาการของลูกได้เป็นอย่างดี เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้ทักษะด้านภาษา การสื่อสาร การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ การมองเห็น อารมณ์ การเข้าสังคม และแน่นอนว่าดีต่อการะบวนการเรียนรู้ด้านสติปัญญาของลูกด้วย

มากไปกว่านั้น ในช่วง 6 เดือนถึง 1 ปีแรกของลูก ควรดูแลให้ลูกได้กินนมแม่อย่างเพียงพอ โดยเฉพาะในช่วง 6 เดือนแรกของชีวิตลูกควรได้กินนมแม่เพียงอย่างเดียวและต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยให้ลูกได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสมอง และสารภูมิคุ้มกันช่วยให้ลูกมีสุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่ายจนเป็นอุปสรรคขัดขวางพัฒนาการเรียนรู้ที่สมวัยของลูก

หากในช่วง 3 ปีแรกนี้คุณพ่อคุณแม่ให้ลูกได้เล่นสนุก กินอิ่ม นอนหลับ เด็กก็จะมีพัฒนาการที่เป็นไปตามวัยของเขา เด็กจะสามารถพัฒนาทักษะต่าง ๆ ได้อย่างสมวัย ทั้งยังเป็นการปูพื้นฐานสำคัญเพื่อช่วยเตรียมพร้อมให้ลูกก้าวเข้าสู่โลกแห่งการเรียนรู้ในวัยอนุบาลได้อย่างมั่นใจเมื่ออายุครบ 3 ขวบอีกด้วย

 

MFGM สารอาหารในนมแม่ เพื่อ IQ ที่เหนือกว่าตั้งแต่ 5 ขวบปีแรก


โภชนาการ ถือเป็นการส่งเสริมพัฒนาการลูกด่านแรก ๆ ที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรมองข้าม ไม่ใช่เริ่มหลังจากคลอดลูก แต่จะต้องเริ่มตั้งแต่ตั้งครรภ์ เพื่อให้ทารกได้รับสารอาหารที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตและการพัฒนาสมอง

หลังคลอดลูกแล้ว คุณแม่ควรให้ลูกได้กินนมแม่อย่างต่อเนื่องใน 6 เดือนแรกของชีวิต เพื่อให้ลูกน้อยได้รับ MFGM สุดยอดสารอาหารในนมแม่ สารอาหารสมองชนิดเดียวที่ช่วยให้ลูกมี IQ ที่เหนือกว่าตั้งแต่ 5 ปีแรก ประกอบด้วยไขมันและโปรตีนกว่า 150 ชนิด รวมทั้งงสฟิงโกไมอีลิน ฟอสโฟลิปิด แกงกลิโอไซด์ ช่วยสร้างเสริมพัฒนาการเรียนรู้ที่สมวัยของลูกได้



บทความแนะนำสำหรับเสริมสร้างพัฒนาการทางสมองลูกน้อย

* นมแม่เป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับทารก
Enfa Smart Club สนับสนุนให้คุณแม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพียงอย่าง
เดียวอย่างน้อย 6 เดือนและให้นมแม่ควบคู่อาหารตามวัยอีก 2 ปี หรือนานกว่านั้น ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO)
Enfa Smart Club พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลคุณแม่และลูกน้อย ด้วยการมอบข้อมูลโภชนาการและพัฒนาการลูกน้อยแต่ละวัย ที่เป็นประโยชน์และเชื่อถือได้ ผ่านเว็บไซต์ enfababy.com

คุณกำลังเข้าถึงเนื้อหาจากผู้ให้บริการภายนอกเกี่ยวกับการซื้อหรือ เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของบริษัท มี้ด จอห์นสัน นิวทริชัน (ประเทศไทย) จำกัด​

กรุณากดยืนยันเพื่อดำเนินการต่อ

Line TH
Shopee TH Lazada TH Join Enfamama