Enfa สรุปให้
เลือกอ่านตามหัวข้อ
คุณพ่อคุณแม่หลายคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า "จิตวิทยาการเลี้ยงลูก" แล้วใช่มั้ยคะ การเลี้ยงลูกให้เป็นเด็กฉลาด อารมณ์ดี และมีจิตใจที่แข็งแกร่ง เริ่มจากการเข้าใจจิตวิทยาการเลี้ยงลูก ไปจนถึงการเลือกอาหารที่ดีที่สุดสำหรับพัฒนาการของลูกน้อย บทความนี้จะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่มือใหม่สามารถนำไปปรับใช้ในการเลี้ยงลูกได้จริง
การใช้จิตวิทยาเลี้ยงลูกที่ถูกต้องเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาทั้ง IQ, EQ และ EF ของลูกน้อยค่ะ เริ่มจากการสร้างความผูกพันที่แน่นแฟ้นตั้งแต่แรกเกิด การกอด การสบตา และการพูดคุยกับลูกบ่อยๆ จะช่วยกระตุ้นการพัฒนาสมองและความฉลาดทางอารมณ์ได้อย่างดี
การเข้าใจถึงพัฒนาการทางด้านอารมณ์และจิตใจของลูก จะช่วยให้เขาเติบโตอย่างสมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ การที่ลูกจะเป็นเด็กฉลาดนั้น ไม่ได้มาจากการเรียนรู้เพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยการดูแลที่ดีในทุกๆ ด้าน ตั้งแต่ความรู้สึก ความสัมพันธ์ในครอบครัว และสิ่งแวดล้อมที่เขาได้รับ คุณพ่อคุณแม่สามารถใช้จิตวิทยาเลี้ยงลูกได้ ดังนี้
การสร้างความมั่นใจให้ลูก
เด็กที่ได้รับการสนับสนุน และความมั่นใจจากพ่อแม่จะสามารถเติบโตขึ้นเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเอง สิ่งนี้สามารถเริ่มต้นได้จากการให้กำลังใจเมื่อลูกทำสิ่งต่างๆ อย่างการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ หรือการพยายามแก้ปัญหาให้สำเร็จ แทนที่จะให้คำวิจารณ์ที่ทำให้เขารู้สึกท้อถอย
การเข้าใจอารมณ์ของลูก
อารมณ์ของเด็กในวัยเด็กสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นการเข้าใจอารมณ์ของลูก การให้การสนับสนุนที่เหมาะสมจะช่วยให้เขารู้สึกปลอดภัย และรักในตัวเองมากขึ้น หากลูกโกรธหรือเสียใจ การให้เวลาและการอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นสามารถช่วยให้เขาเรียนรู้วิธีจัดการกับอารมณ์ของตัวเองได้ดีขึ้น
ส่งเสริมความเข้าอกเข้าใจตนเองและผู้อื่น
การส่งเสริมให้เด็กๆ มี “ความเข้าอกเข้าใจ” (Empathy) จะเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันทางใจที่ดีเมื่อลูกของเราต้องเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่กดดัน เพราะเมื่อลูกมีความเข้าอกเข้าใจในตนเอง เขาจะเรียนรู้การเยียวยาความรู้สึกตนเอง ไม่ให้เสียสุขภาพจิตไปกว่าเดิม หากพบเห็นผู้อื่นที่ตกอยู่ในความลำบาก หรือถูกทำร้ายจิตใจ ลูกของเราก็จะพร้อมช่วยเหลือ หรือสร้างกำลังใจให้แก่ผู้อื่น
เทคนิค การส่งเสริม Empathy (ความเข้าอกเข้าใจ) ให้แก่ลูก นักจิตวิทยาแนะนำไว้ 5 วิธีด้วยกัน ได้แก่
1. ให้ความรักกับลูกอย่างเต็มที่
การแสดงความรักและดูแลลูกอย่างเต็มที่ทำให้รู้สึกปลอดภัยและมั่นคง ซึ่งเป็นพื้นฐานที่ช่วยให้เริ่มเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น เช่น การโอบกอดหรือการพูดคุยให้กำลังใจเมื่อเขารู้สึกไม่ดี จะช่วยให้ลูกรู้ว่าเมื่อเราห่วงใยเขา เขาก็จะเรียนรู้ที่จะห่วงใยผู้อื่นเช่นกัน
2. สอนให้ลูกรู้จักการให้
แม้เด็กเล็กจะยังไม่เข้าใจการให้เต็มตัว แต่เราสามารถสอนให้แบ่งปันได้ เช่น แบ่งขนมหรือของเล่นให้เพื่อน การเห็นพ่อแม่แบ่งปันสิ่งต่าง ๆ จะช่วยให้ลูกเรียนรู้ว่าการให้ทำให้คนอื่นมีความสุข และจะอยากทำตาม
3. สอนให้ลูกคิดถึงคนอื่น
ถามลูกว่า "เพื่อนรู้สึกยังไง" หรือ "ถ้าเพื่อนเจ็บ เราควรทำยังไงดี?" การถามแบบนี้ช่วยให้ลูกเริ่มคิดถึงความรู้สึกของผู้อื่น และรู้ว่าความเห็นอกเห็นใจคนอื่นเป็นสิ่งสำคัญ
4. สอนให้คิดยืดหยุ่น
สอนลูกให้เข้าใจว่าไม่ทุกคนคิดเหมือนเรา เช่น ถ้าเพื่อนเอาของเล่นไป ก็อธิบายว่า "เพื่อนอยากเล่นบ้างก็ไม่เป็นไร" การสอนให้ลูกเข้าใจความแตกต่างจะช่วยให้เขารู้จักปรับตัวและไม่โกรธง่าย
5. สอนให้เด็ก ๆ เปิดกว้าง
การเปิดกว้างช่วยให้ลูกยอมรับความแตกต่าง เช่น พูดถึงเพื่อนที่มีสีผิวหรือเชื้อชาติที่แตกต่างกัน หรือพาไปเจอคนหลากหลาย จะทำให้ลูกเข้าใจ และยอมรับความแตกต่างในสังคมได้ง่ายขึ้น
เด็กที่เติบโตในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความรัก และความเข้าใจจากพ่อแม่ รวมทั้งสมาชิกในครอบครัว มักจะมีพัฒนาการทางอารมณ์และจิตใจที่ดี
การแสดงความรักและการให้ความใส่ใจในทุกๆ วัน เช่น กินอาหารร่วมกัน หรือการพูดคุย ทำให้ลูกรู้ว่าพ่อแม่มีจริงก่อนอายุสิบขวบที่โลกของลูกจะมีเพื่อนเพิ่มเข้ามา และเริ่มจะแยกจากพ่อแม่ กิจกรรมในแต่ละวันที่ทำร่วมกันนั้นจะสามารถช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางอารมณ์ให้กับลูกได้
ทัศนคติของพ่อแม่มีผลอย่างมากต่อการเติบโตของลูกค่ะ การมองโลกในแง่บวกและให้กำลังใจลูกเสมอจะช่วยสร้างความมั่นใจให้ลูกน้อยเติบโตขึ้นเป็นคนที่มีความสุข และประสบความสำเร็จในชีวิต แม้ลูกจะทำผิดพลาด ก็ควรมองว่าเป็นโอกาสในการเรียนรู้ ไม่ใช่การต่อว่า หรือ ลงโทษ
คุณพ่อคุณแม่สามารถเป็นแบบอย่างที่ดีในการแสดงออกทางอารมณ์ เพราะลูกจะซึมซับ และเลียนแบบพฤติกรรมของเราโดยไม่รู้ตัว เวลาโกรธหรือเครียด ลองหายใจลึกๆ และพูดกับลูกว่า "แม่/พ่อกำลังรู้สึกไม่สบายใจ ขอหายใจลึกๆ สักครู่นะ" วิธีนี้จะช่วยให้ลูกเรียนรู้การจัดการอารมณ์ที่ดีได้
ทัศนคติสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ควรมีในการเลี้ยงลูก ดังนี้
ทัศนคติที่เปิดกว้าง
เด็กทุกคนมีลักษณะเฉพาะตัวและพัฒนาการที่แตกต่างกัน ดังนั้นการเลี้ยงลูกด้วยทัศนคติที่เปิดกว้าง จะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่สามารถยอมรับความแตกต่าง และมองเห็นศักยภาพของลูกได้อย่างเต็มที่ โดยไม่คาดหวังให้เขาทำตามแบบที่เราคิด
ทัศนคติที่กล้าเปิดประเด็นให้คิดและแสดงออก
คุณพ่อคุณแม่ลองเปลี่ยนจากการออกคำสั่ง หรือการจำกัดความคิดของลูก มาเป็นการถามเพื่อให้เขาได้แสดงความเห็นและความรู้สึก การให้ตัวเลือกเพื่อให้เขาได้เลือกสิ่งที่คิดว่าเหมาะกับตัวเอง หรือตั้งคำถามกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่พบเจอ เพื่อกระตุ้นให้เขาใช้ความคิดอยู่เสมอ ได้แสดงความเป็นตัวของตัวเอง และเป็นวิธีที่ทำให้คุณพ่อคุณแม่เปิดใจยอมรับตัวตนของลูก ได้มีโอกาสสังเกตเห็นบุคลิก ความถนัด และทักษะบางอย่างของลูกได้ เพื่อหาวิธีส่งเสริมต่อไปได้อย่างเหมาะสม
ทัศนคติที่สร้างสรรค์
การมีทัศนคติที่เปิดกว้างในด้านการสร้างสรรค์ช่วยให้ลูกกล้าที่จะทดลองทำสิ่งใหม่ๆ และไม่กลัวที่จะล้มเหลว การส่งเสริมให้ลูกลองทำอะไรใหม่ๆ โดยไม่ตั้งข้อจำกัดจะช่วยพัฒนาทักษะการคิดและความสามารถในการแก้ปัญหาของเขา
ทัศนคติที่อดทนและเข้าใจ
ทุกๆ ก้าวของการเลี้ยงลูกต้องการความอดทน บางครั้งลูกอาจจะทำสิ่งที่ทำให้คุณพ่อคุณแม่รู้สึกท้อ แต่การมีทัศนคติที่เข้าใจและอดทนจะช่วยให้การเลี้ยงลูกเป็นไปได้อย่างราบรื่นและลูกจะเรียนรู้จากความผิดพลาด
มีคำแนะนำจากกุมารแพทย์เวชศาสตร์วัยรุ่นว่า คุณพ่อคุณแม่ควรให้ความรักกับลูกโดยไม่มีเงื่อนไข อย่าทำให้ลูกรู้สึกว่าการจะเป็นที่รักของพ่อแม่ เขาต้องน่ารักและเป็นคนดี หรือทำท่าผิดหวังเวลาเขาสอบได้คะแนนไม่ดี แต่ควรทำให้ลูกรู้สึกว่า ไม่ว่าเขาจะเป็นอะไรก็ตาม ฉันเป็นที่รักของพ่อแม่เสมอ จะทำให้เขาพัฒนาตัวตน
ขณะเดียวกัน อย่าเลี้ยงลูกด้วยความสุขตลอดเวลา เพราะจะทำให้ลูกเปราะบางมาก รักตัวเองไม่พอ และอาจเกิดความซึมเศร้าได้ง่าย
ทัศนคติเรียนรู้ไปพร้อมกับลูก
ถ้าคุณพ่อคุณต้องให้เวลาคุณภาพคุณภาพกับลูก ด้วยการเรียนรู้ไปพร้อมกันกับลูก ไม่ปล่อยลูกให้ลงมือทำโดยขาดความสนใจและกำลังใจ เช่น อยากให้ลูกปั่นจักรยานที่ชอบ คุณพ่อคุณแม่ก็ควรปั่นจักรยานหรือเดินไปพร้อมๆ กับลูก
ลูกชอบประดิษฐ์ พ่อแม่ก็ควรเป็นฝ่ายช่วยหาอุปกรณ์ ให้กำลังใจ และติดตามผลอยู่ใกล้ๆ เพื่อเห็นถึงความพยายาม ความมุ่งมั่น และช่วยแนะนำในส่วนที่ลูกขอความเห็น
สำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ การเลี้ยงลูกอาจดูเป็นเรื่องท้าทาย แต่ไม่ต้องกังวลไปค่ะ เพราะทุกคนต้องผ่านช่วงเวลานี้มาก่อน สิ่งสำคัญคือการเรียนรู้และปรับตัว
เทคนิคง่ายๆ ที่ช่วยได้ คือ การสร้างกิจวัตรประจำวันที่แน่นอน เช่น เวลาอาหาร เวลานอน และเวลาเล่น การมีตารางเวลาที่ชัดเจนจะช่วยให้ลูกรู้สึกปลอดภัยและมั่นคง ซึ่งส่งผลดีต่อพัฒนาการทั้งร่างกายและจิตใจ
อีกเรื่องสำคัญคือการใช้เวลาคุณภาพกับลูก แม้จะเหนื่อยจากการทำงาน แต่การใช้เวลาแค่ 15-30 นาทีในการเล่นหรือทำกิจกรรมร่วมกับลูกอย่างเต็มที่ จะสร้างความทรงจำและความผูกพันที่ดีได้
สำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ที่กำลังมองหาข้อมูลดีๆ ในการเลี้ยงลูก บทความดีๆ จะช่วยให้คุณมีแนวทางในการดูแลลูกน้อยของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น
บทความเหล่านี้เต็มไปด้วยข้อมูลที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการดูแลลูกน้อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งเคล็ดลับในการเลี้ยงลูกให้เติบโตเป็นคนดีและมีสุขภาพแข็งแรง
MFGM สุดยอดสารอาหารสมองจากนมแม่ สารอาหารชนิดเดียวที่ช่วยให้ลูกมี IQ ที่เหนือกว่าตั้งแต่ 5 แรก ประกอบไปด้วยโปรตีนและไขมันกว่า 150 ชนิด เช่น สฟิงโกไมอีลิน ฟอสโฟลิปิด แกงกลิโอไซต์ ซึ่งเป็นสารอาหารที่มีส่วนช่วยสำคัญต่อการเสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองและการเรียนรู้ ให้ลูกได้มีทักษะจัดการสมอง EF ที่เหนือกว่า
Enfa สรุปให้ อาการไข้ขึ้นตอนกลางคืน กลางวันปกติ พบได้บ่อยในเด็ก เพราะเป็นภาวะที่ร่างกายตอบสนองต่...
อ่านต่อEnfa สรุปให้ เมื่อทารกคัดจมูก คุณแม่สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ยาทาระเหยบรรเทาอาการคัดจมูกสูตรสำหรับทารกโ...
อ่านต่อEnfa สรุปให้ ฟลูออไรด์ เป็นแร่ธาตุชนิดหนึ่งที่สามารถพบได้ตามธรรมชาติทั้งจากดิน หิน น้ำโดยเฉพาะใน...
อ่านต่อ