Enfa สรุปให้
เลือกอ่านตามหัวข้อ
อยู่ไฟหลังคลอด ช่วยให้มดลูกเข้าอู่ ขับน้ำคาวปลา มักเป็นประโยคลูกคู่รับที่ได้ยินกันมาช้านานว่าผู้หญิงที่คลอดลูกในสมัยก่อนจะต้องอยู่ไฟหลังคลอดเพื่อฟื้นฟูร่างกาย แต่ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป และเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ภูมิปัญญาท้องถิ่นเช่นนี้ก็ค่อย ๆ ลดน้อยลงไป
กาลเวลาที่เปลี่ยนผ่านไปเร็วเช่นนี้ การอยู่ไฟหลังคลอดยังถือเป็นเรื่องจำเป็นในยุคปัจจุบันหรือเปล่า แล้วการไม่อยู่ไฟหลังคลอดจะมีผลเสียตามมาไหม เรามารู้จักกับการอยู่ไฟให้มากขึ้นกันดีกว่า
การอยู่ไฟ หรืออยู่เดือน เป็นศาสตร์การแพทย์แผนไทยที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน โดยมีความเชื่อว่าผู้หญิงที่อยู่ไฟหลังคลอดจะมีสุขภาพดี ร่างกายฟื้นตัวได้ดีขึ้น ช่วยให้มดลูกเข้าอู่ ขับน้ำคาวปลา เลือดลมไหลเวียนดี
แต่เมื่อมองลึกลงไปก็จะพบว่าสาเหตุที่คนในสมัยก่อนเลือกใช้วิธีการอยู่ไฟนั้นอาจเป็นเพราะว่าการแพทย์ในสมัยโบราณนั้นไม่ได้ก้าวหน้าเหมือนสมัยนี้ หมอตำแยที่ทำคลอดก็ไม่ได้มีการเย็บปิดช่องคลอดที่มีการฉีกขาดจากการคลอดลูก
ดังนั้น การจะทำให้แผลสมานตัวได้เร็วที่สุดก็คือการให้ผู้ป่วยงดการเคลื่อนไหวร่างกาย แต่การนอนเฉย ๆ ไม่ขยับเขยื้อนเลย ก็เป็นเหตุให้เกิดความอ่อนล้า อ่อนเพลีย ตามมา คนโบราณจึงเชื่อว่าอุณหภูมิที่สูงขึ้นจากการก่อไฟจะช่วยให้เลือดลมในร่างกายไหลเวียนได้ดี ทำให้แม่หลังคลอดรู้สึกสบายตัว คลายความปวดเมื่อย
ซึ่งการอยู่ไฟในสมัยก่อนนั้นค่อนข้างจะมีกฎเกณฑ์หลายข้อ โดยจะให้ผู้หญิงหลังคลอดนอนอยู่ในห้องสำหรับการอยู่ไฟโดยเฉพาะ ปิดประตูหน้าต่างมิดชิดเพื่อป้องกันไม่ให้ลมเข้า ในห้องก็จะมีเตียงและมีกองไฟที่ก่อไว้ข้างเตียง คล้ายกับการนอนผิงไฟเพื่อรับไออุ่นในหน้าหนาว ต้องมีคนคอยดูแลไม่ให้ไฟร้อนหรือเบาจนเกินไป
ส่วนคนที่อยู่ไฟก็ต้องอยู่ไฟจนครบสัปดาห์หรือสองสัปดาห์ นอกจากนี้ก็ยังจะต้องอาบน้ำร้อน ดื่มน้ำอุ่น ๆ ไปจนถึงห้ามกินอาหารแสลงจำพวกเนื้อสัตว์ต่าง ๆ หรือไข่ เน้นกินข้าวกับเกลือหรือปลาเค็ม เพราะเชื่อว่าเกลือจะช่วยทดแทนเหงื่อที่สูญเสียไปขณะอยู่ไฟ
ปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่ากระแสการอยู่ไฟนั้นลดลงไปมากแล้ว เพราะรูปแบบการอยู่ไฟของคนสมัยก่อนนั้น บางข้อก็ไม่ได้มีความสมเหตุสมผล เช่น การห้ามแม่หลังคลอดกินอาหารบางประเภท เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว แม่หลังคลอดควรจะได้กินอาหารที่หลากหลาย และครบถ้วน เพื่อช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ฟื้นตัวหลังคลอดได้เร็วขึ้น และดีต่อการผลิตน้ำนม
หรือการต้องปิดประตูหน้าต่างขณะอยู่ไฟให้มิดชิด ทั้งที่จริงแล้วการก่อไฟและอยู่ในที่มิดชิดไม่มีอากาศถ่ายเท เสี่ยงต่อการสูดเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าสู่ร่างกาย ซึ่งอาจจะทำให้เสียชีวิตเร็วขึ้นก่อนที่มดลูกจะเข้าอู่
มากไปกว่านั้น การแพทย์ในยุคปัจจุบันยังพัฒนาขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก โดยก่อนที่จะคลอดแพทย์จะทำการฉีดยา “ออกซิโทซิน” หรือยาเร่งคลอด ซึ่งยาดังกล่าวจะช่วยให้มดลูกบีบและหดตัวลงหลังคลอด และมีการเย็บปิดแผลคลอดลูกอย่างดี จึงไม่ต้องกังวลว่าหลังคลอดแล้วมดลูกจะไม่หดตัว หรือมดลูกจะไม่เข้าอู่ จึงไม่จำเป็นต้องมีการอยู่ไฟแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม เรื่องการอยู่ไฟก็อาจจะเป็นเรื่องปัจเจก หากสนใจหรืออยากลองทำ ก็สามารถทำได้ เพราะการอยู่ไฟในสมัยนี้ก็มีการพัฒนาและปรับให้เข้ากับโลกในปัจจุบันมากขึ้น แต่เพื่อความปลอดภัยควรทำการอยู่ไฟกับสถานบริการที่น่าเชื่อถือและมีใบอนุญาตถูกต้อง
ในอดีตอาจมีการอยู่ไฟนานเป็นสัปดาห์ หรือสองสัปดาห์ หรือราว ๆ 7-15 วัน หรืออาจนานถึง 1 เดือน แต่การอยู่ไฟในปัจจุบันนี้มีการปรับลดลงมาให้ตอบรับกับยุคสมัย โดยจะทำกันเพียงไม่กี่ชั่วโมงต่อวัน ติดต่อกันประมาณ 5-10 วัน
คุณแม่ที่ผ่าคลอดก็สามารถทำการอยู่ไฟได้เช่นกัน เพียงแต่ยังไม่สามารถทำได้ทันทีหลังผ่าคลอด เพราะจะต้องรอให้แผลผ่าคลอดหายดีหรือหายสนิทก่อน แล้วจึงเริ่มทำการอยู่ไฟได้
ตามหลักของการแพทย์แผนไทยมองว่ากระบวนการคลอดลูก ไม่ว่าจะคลอดธรรมชาติ หรือผ่าคลอด นับว่าเป็นกระบวนการที่ทำให้ร่างกายของผู้หญิงเสียสมดุลของธาตุทั้ง 4 ในร่างกาย
การอยู่ไฟจะช่วยปรับสมดุลของธาตุในร่างกาย ทำให้รู้สึกสบายตัว ลดอาการคัดตึงเต้านม ช่วยขับน้ำคาวปลา ช่วยให้ฟื้นตัวหลังคลอดได้ดี บรรเทาอาการเจ็บปวดกล้ามเนื้อ รวมถึงลดความเสี่ยงของสุขภาพที่จะตามมาหลังคลอดด้วย
การอยู่ไฟหลังคลอดในปัจจุบัน จะเริ่มจากการ
ปัจจุบันรูปแบบการอยู่ไฟมีความหลากหลายมากขึ้น คุณแม่ที่สนใจการอยู่ไฟจึงมีตัวเลือกที่ตอบโจทย์ต่อความสะดวกสบาย
สถานพยาบาลหลายแห่งที่มีศูนย์แพทย์แผนไทยก็มีการเปิดคอร์สอยู่ไฟที่โรงพยาบาล เพื่อบริการแก่แม่หลังคลอดที่สนใจ ซึ่งก็จะได้รับการบริการจากผู้ที่มีความชำนาญด้านการแพทย์แผนไทยโดยตรง
แต่แม่หลายท่านก็อาจสะดวกที่จะทำการอยู่ไฟหลังคลอดแบบทำเองที่บ้าน โดยอาจจะสั่งซื้อชุดอยู่ไฟหลังคลอด หรือชุดอยู่ไฟด้วยตัวเองซึ่งก็มีจำหน่ายตามร้านขายยาที่มีสินค้าแพทย์แผนไทย
หรืออยู่ไฟกับสถานบริการแพทย์แผนไทย ซึ่งบางสถานบริการก็มีการปรับรูปแบบให้สะดวกมากขึ้น เช่น มีบริการอยู่ไฟหลังคลอดแบบเดลิเวอรี่ ก็จะช่วยประหยัดเวลาในการเดินทาง และคุณแม่หลังคลอดไม่จำเป็นต้องทิ้งลูกไว้ที่บ้านเพื่อไปเข้ารับการอยู่ไฟข้างนอกด้วย โดยคุณแม่สามารถเลือกรูปแบบการอยู่ไฟได้ตามความสนใจ
กรมอนามัยของไทยเองกล่าวว่า การอยู่ไฟในปัจจุบันไม่ได้มีความจำเป็นอีกแล้ว เพราะกระบวนการคลอดในปัจจุบันมีกระบวนการที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน
โดยก่อนที่จะคลอดแพทย์จะทำการฉีดยา “ออกซิโทซิน” หรือยาเร่งคลอด ซึ่งยาดังกล่าวจะช่วยให้มดลูกบีบและหดตัวลงหลังคลอด และมีการเย็บปิดแผลคลอดลูกอย่างดี จึงไม่ต้องกังวลว่าหลังคลอดแล้วมดลูกจะไม่หดตัว หรือมดลูกจะไม่เข้าอู่
อีกทั้งในต่างประเทศก็ไม่ปรากฎว่ามีการอยู่ไฟหลังคลอดด้วยเช่นกัน เป็นภูมิปัญญาและความเชื่อที่พบแค่เพียงในบ้านเรา
การอยู่ไฟแบบโบราณ มีข้อจำกัดมากมายที่ต้องปฏิบัติตั้งแต่การอยู่ในห้องที่ปิดมิดชิด ต้องมีคนคอยควบคุมไฟไม่ให้ร้อนหรือเบาเกินไป จำกัดการกินอาหาร การหลีกเลี่ยงของแสลง เป็นต้น
แต่การอยู่ไฟในปัจจุบันมีการปรับให้เข้ากับยุคสมัยมากขึ้น โดยมีระยะเวลาที่สั้นลง และทำเพียงไม่กี่ชั่วโมงต่อวัน ไม่จำเป็นต้องนอนอุดอู้ข้างกองไฟในห้องทั้งวันเหมือนในอดีต
และจากเมื่อก่อนที่ต้องก่อไฟในห้องที่ปิดมิดชิด ปัจจุบันก็พัฒนามาเป็นถุงน้ำร้อน กระเป๋าน้ำร้อน ชุดคาดไฟ หรือหม้อเกลือ ซึ่งสะดวกกว่า และแม่หลังคลอดไม่ต้องไปลำบากนอนผิงไฟจนรู้สึกไม่สบายตัวเป็นเวลาหลายวันติดต่อกันอีกต่อไป
อาหารหลังคลอดสำคัญมาก เพราะจะช่วยเติมเต็มพลังงานให้คุณแม่ที่เพิ่งคลอดลูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับค...
อ่านต่อEnfa สรุปให้ ตรวจหลังคลอดตรวจอะไรบ้าง? หลังคลอดคุณแม่จะต้องมาเข้ารับการตรวจร่างกายเบื้องต้น ตรวจ...
อ่านต่อEnfa สรุปให้ เมนูอาหารแม่หลังคลอดที่เหมาะสมจะช่วยบำรุงร่างกายคุณแม่ให้ฟื้นตัวเร็วขึ้น เสริมสร้าง...
อ่านต่อ