Enfa สรุปให้
-
อายุครรภ์ 30 สัปดาห์ ทารกจะมีความยาวประมาณ 17 นิ้ว ประมาณ 1.3 - 1.5 กิโลกรัม
มีขนาดเท่ากับกะหล่ำปลี หรือผักกาดหอม
-
อายุครรภ์ 30 สัปดาห์ เซลล์ผิวของทารกกำลังสร้างเมลานิน ซึ่งทำให้ผิวมีสีเข้มขึ้น
แต่การผลิตเมลานินส่วนใหญ่จะพัฒนาเต็มที่เมื่อทารกอายุได้ประมาณ 6 เดือน
-
อายุครรภ์ 30 สัปดาห์ ทารกมีจำนวนเซลล์ประสาทเพิ่มขึ้นมากมายนับแสนล้านเซลล์
ระบบประสาทมากขึ้น เมื่อโยงใยมากขึ้นสมองของทารกจะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
ท้อง 30 สัปดาห์แล้ว คุณแม่คงนึกไม่ถึงว่าอายุครรภ์ที่เข้าสู่เลข 30 จะมาถึงเร็วขนาดนี้ใช่ไหมคะ
ซึ่งอีกไม่กี่สัปดาห์หลังจากนี้แล้วที่คุณแม่กับลูกน้อยจะได้พบหน้ากัน หลังจากเห็นหน้ากันผ่านจอมอนิเตอร์อัลตราซาวนด์มาหลายเดือน
แต่ก่อนจะไปถึงวันคลอด เรามาดูกันก่อนดีกว่าค่ะว่าตั้งครรภ์ 30 สัปดาห์ คุณแม่จะมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง
แล้วลูกน้อยอายุครรภ์ 30 สัปดาห์มีพัฒนาการเป็นอย่างไร
ท้อง 30 สัปดาห์
มีอะไรบ้างเกิดขึ้นในสัปดาห์นี้
สัปดาห์นี้ระบบประสาทและสมองของทารกพัฒนาขึ้นมาจนใกล้จะสมบูรณ์แล้วค่ะ
ขณะที่ประสาทการได้ยินของทารกนั้นทำงานได้เต็มระบบแล้ว
ทารกสามารถตอบสนองต่อเสียงรอบตัวที่ได้ยินมากขึ้นกว่าในไตรมาสสองอีกค่ะ
ท้อง 30 สัปดาห์ ลูกอยู่ท่าไหน
ทารกในครรภ์ 30 สัปดาห์ ยังไม่อยู่ในท่าที่พร้อมคลอดค่ะ และไม่มีท่าที่ตายตัวด้วย เพรราะสามารถเปลี่ยนท่าทาง
เปลี่ยนตำแหน่งได้ทั้งวัน ตอนเช้าอาจเอาหัวลง แต่ตอนบ่ายก็อาจกลับเอาหัวขึ้น
เนื่องจากมดลูกยังมีพื้นมากพอให้ทารกดิ้นและเคลื่อนไหวไปมาได้อย่างอิสระค่ะ
อายุครรภ์ 30 สัปดาห์ เท่ากับกี่เดือน
คุณแม่ที่มีอายุครรภ์ 30 สัปดาห์ เมื่อเทียบเป็นจำนวนเดือนแล้วจะเท่ากับอายุครรภ์ 7 เดือน 2 สัปดาห์ค่ะ
พัฒนาการลูกน้อยในครรภ์ 30
สัปดาห์ เป็นอย่างไร
พัฒนาการของทารกในครรภ์สัปดาห์นี้จะโดดเด่นในเรื่องของระบบประสาทและสมอง ซึ่งมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง
และจะพัฒนามากขึ้นไปอีกในระยะนี้
ขนาดทารกในครรภ์สัปดาห์ที่ 30 จะมีขนาดเท่าไหน
ทารกอายุครรภ์ 30 สัปดาห์ จะมีความยาวประมาณ 17 นิ้ว มีขนาดเท่ากับกะหล่ำปลี หรือผักกาดหอมค่ะ
ท้อง 30 สัปดาห์ ลูกหนักเท่าไหร่
อายุครรภ์ 30 สัปดาห์ น้ำหนักทารกจะอยู่ที่ประมาณ 1.3 - 1.5 กิโลกรัมค่ะ
ท้อง 30 สัปดาห์ ลูกดิ้นมากแค่ไหน
ในสัปดาห์ที่ 30 นี้ พื้นที่ภายในมดลูกนั้นยังกว้างพอที่จะทำให้ทารกเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ
อีกทั้งระบบร่างกายของทารกก็พัฒนามาจนเกือบสมบูรณ์แล้ว ทำให้การตอบสนองต่อแสง สี เสียงทำได้ดีขึ้น เวลาคุยกัน อ่านนิทาน
หรือเปิดเพลงให้ลูกฟัง ลูกสามารถจะตอบโต้ด้วยการดิ้นหรือเตะท้องได้มากขึ้น
แต่ถ้าถามว่าลูกจะดิ้นบ่อยแค่ไหน อันนี้ตอบได้ยากค่ะ เพราะทารกแต่ละคนจะดิ้นมากดิ้นน้อยไม่เท่ากัน
และทารกในระยะนี้สามารถดิ้นได้มากกว่า 300-400 ครั้งต่อวันค่ะ
อวัยวะและระบบอื่น ๆ
การพัฒนาของอวัยวะและระบบต่าง ๆ ที่สำคัญของทารกในช่วงอายุครรภ์ 30 สัปดาห์ มีดังนี้
• สมองของทารกในครรภ์จะเติบโตอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
มีจำนวนเซลล์ประสาทเพิ่มขึ้นมากมายนับแสนล้านเซลล์ ระบบประสาทมากขึ้น
เมื่อโยงใยมากขึ้นสมองของทารกจะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
เพิ่มรอยหยักบนสมองเพื่อช่วยเพิ่มพื้นที่ในเนื้อเยื่อสมองเพื่อการพัฒนาและการเรียนรู้ของลูกน้อย
• การได้ยินเสียงจะพัฒนาได้สมบูรณ์เต็มที่ในระหว่างอายุครรภ์ 30 สัปดาห์
และสามารถตอบสนองต่อสิ่งเร้าจากภายนอกได้ เช่น ดิ้นแรงเมื่อได้ยินเสียงดัง ดิ้นมากขึ้นเมื่อเสียงลำไส้แม่ทำงาน ยามแม่หิว
หรือ หัวใจเต้นเร็ว
เมื่อได้ยินเสียงดนตรีที่ชอบ
มีการสร้างโยงใยการเชื่อมโยงของเส้นใยระหว่างเซลล์สมองมากขึ้นเพื่อเพิ่มเครือข่ายของสมองในการเรียนรู้
ยิ่งกระตุ้นมากก็ยิ่งมีการสร้างโยงใยของเซลล์ประสาท
• เซลล์ผิวของทารกกำลังสร้างเมลานิน ซึ่งทำให้ผิวมีสีเข้มขึ้น
(ยิ่งสร้างเซลล์เมลานินมาก ผิวก็จะยิ่งเข้มขึ้น) อย่างไรก็ตาม
การผลิตเมลานินส่วนใหญ่จะยังไม่เกิดขึ้นจนกว่าทารกจะคลอดค่ะ และสีผิวถาวรของทารกจะพัฒนาเต็มที่เมื่อมีอายุได้ประมาณ 6
เดือน
เข้าใจการเปลี่ยนแปลงร่างกายของคุณแม่อายุครรภ์ 30 สัปดาห์
แม่ท้อง 29 สัปดาห์หลายคนอาจต้องพบกับความเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายหลายอย่างในช่วงสัปดาห์นี้ มีดังนี้
•
ช่วงนี้คุณแม่จะรู้สึกเหนื่อยและอ่อนเพลียง่ายขึ้นเป็นการเตือนของร่างกายให้คุณแม่พักผ่อนมากขึ้น ควรนอนพักผ่อน
ให้ได้อย่างน้อยวันละ 10 ชั่วโมงขึ้นไป โดยให้นอนตะแคงซ้ายดีกว่านอนตะแคงขวา ควรหลีกเลี่ยงการนอนหงาย
เพราะน้ำหนักมดลูกที่มากขึ้นอาจไปกดทับเส้นเลือดใหญ่ทำให้เลือดไหลกลับเข้าสู่หัวใจไม่ได้
ทำให้ความดันตกลงเกิดอาการเป็นลมได้มดลูกที่ขยายตัวอาจกดลงบนเส้นประสาทที่เชื่อมต่อกับแขนหรือขา ทำให้ขา นิ้วเท้า
หรือแขนรู้สึกเหน็บชา ซึ่งเป็นอาการปกติของคุณแม่ตั้งครรภ์ ซึ่งจะหายไปเองหลังจากคลอด
• ท้องที่โตมากขึ้นในช่วงอายุครรภ์ 30 สัปดาห์นี้
ทำให้คุณแม่หายใจตื้นขึ้นและเร็วขึ้นเพราะมดลูกโตจนดันกระบังลมทำให้ปอดมีปริมาตรเล็กลง คุณแม่จะรู้สึกเหนื่อยง่าย
อุ้ยอ้ายเคลื่อนไหวไม่คล่องแคล่ว จึงควรเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ เพื่อไม่ให้ปอดทำงานหนักเกินไป
คุณแม่ควรนั่งและนอนเหยียดหลังตรงเพื่อให้ปอดขยายตัวได้มากขึ้นจะหายใจได้สะดวกมากขึ้น
• ตอนนี้คุณแม่หลายคนอาจจะกลับมาอารมณ์แปรปรวนแบบตอนตั้งครรภ์ใหม่ๆ
เพราะเมื่อถึงช่วงที่ตั้งครรภ์ 30 สัปดาห์ คุณแม่จะเริ่มกังวลกับบทบาทใหม่ของตน ฉันจะคลอดลูกออกมาปลอดภัยไหม
จะมีน้ำนมพอไหม ท้องจะยุบไหม เป็นต้น
• ขนาดท้องของคุณแม่ตอนนี้ก็ยังคงใหญ่ขึ้นมาอีกเรื่อย ๆ
ส่งผลให้คุณแม่รู้สึกอึดอัดไปหมดไม่ว่าจะขยับตัวไปทำอะไรก็ตาม และบางคนเริ่มกินอาหารได้น้อยลง เพราะรู้สึกอึดอัดท้อง
กินเข้าไปนิดหน่อยก็รู้สึกอิ่มซะแล้ว
• ในระยะนี้คุณแม่หลายคนอาจรู้สึกว่าท้องแข็งบ่อย
ซึ่งถ้าหากคุณแม่มีอาการปวดท้องเป็นครั้งคราวและหายไปเอง การนอนพัก หรือกินยาแก้ปวด สามารถช่วยให้อาการดีขึ้นได้
แต่ถ้าหากมีอาการปวดถี่ขึ้น ปวดมากขึ้น และอาการปวดไม่ทุเลาลง พร้อมกับมีอาการคล้ายปากมดลูกเปิด ให้รีบไปพบแพทย์ทันที
เพราะคุณแม่อาจมีภาวะแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์ หรือเสี่ยงที่จะคลอดก่อนกำหนดได้ค่ะ
• อายุครรภ์ 30 สัปดาห์ ซึ่งเป็นการตั้งครรภ์ในไตรมาสสาม
ทารกมีขนาดตัวใหญ่ขึ้นและหนักมากถึง 1 กิโลกรัม จึงทำให้คุณแม่มีน้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้น
แต่...คุณแม่ที่มีค่าดัชนีมวลกายหรือ BMI ปกติ ยังจำเป็นที่จะต้องดูแลน้ำหนักให้เพิ่มขึ้นมาไม่เกิน 3.5-4.5 กิโลกรัม
หรือไม่ควรเกิน 5 กิโลกรัมในช่วงไตรมาสสุดท้ายนี้ค่ะ
อาหารคนท้อง 30 สัปดาห์
มีอะไรบ้างที่คุณแม่ควรกิน
สำหรับแม่ท้อง 30 สัปดาห์ ควรเน้นกินอาหารที่มีประโยชน์ หลากหลาย และครบทั้ง 5 หมู่ ในแต่ละมื้อควรประกอบไปด้วยเนื้อสัตว์
ผัก ผลไม้ รวมถึงธัญพืชต่าง ๆ ด้วย มากไปกว่านั้น ยังจำเป็นจะต้องเน้นกลุ่มสารอาหารที่จำเป็นสำหรับการตั้งครรภ์ ได้แก่
•
ดีเอชเอ ช่วยพัฒนาทางสมอง ดวงตา และระบบประสาท
ช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์ อาหารที่มีดีเอชเอสูง เช่น ปลาทะเล อโวคาโด ไข่แดง เป็นต้น
•
ธาตุเหล็ก ช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงของภาวะโลหิตจางระหว่างตั้งครรภ์
ธาตุเหล็กพบได้มากในอาหารจำพวก เนื้อแดง ไข่แดง ตับ งา และผักสีเขียวเข้ม เป็นต้น
•
โฟเลต ช่วยในการพัฒนาของระบบประสาทและสมอง
รวมถึงช่วยลดความเสี่ยงที่เกี่ยวกับระบบประสาทของทารกในครรภ์ โฟเลตพบได้มากในอาหารจำพวก ตับ ไข่ ผักใบเขียว และถั่วต่าง
ๆ เป็นต้น
•
แคลเซียม ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันของแม่และทารกให้แข็งแรง
แคลเซียมพบได้มากในอาหารจำพวกนม หรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม เช่น ชีส เนย หรือโยเกิร์ต เป็นต้น
•
ไอโอดีน ช่วยให้ระดับฮอร์โมนไทรอยด์ในร่างกายปกติ
ลดความเสี่ยงของโรคไทรอยด์ระหว่างตั้งครรภ์ ไอโอดีนพบในอาหารทะเลทุกชนิด เกลือไอโอดีน ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม กระเทียม
หรืองา เป็นต้น
•
โคลีน ช่วยลดความเสี่ยงของภาวะความบกพร่องที่ระบบท่อประสาทของทารกในครรภ์
โคลีน พบมากในอาหารจำพวกไข่ เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน แซลมอน ไก่ บร็อคโคลี่ กะหล่ำดอก เป็นต้น
• โอเมก้า
3 ช่วยเสริมสร้างและดูแลสุขภาพหัวใจ ระบบภูมิคุ้มกัน สมอง และดวงตา
รวมถึงมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของภาวะซึมเศร้าหลังคลอดด้วย โอเมก้า 3 พบได้มากในอาหารจำพวกปลาทะเล เช่น ปลาแซลมอน
ปลาแมคเคอเรล ปลาซาร์ดีน ปลาทูน่า ปลาซาร์ดีน ปลาเฮอริ่ง และพืชตระกูลถั่ว เช่น เมล็ดแฟลกซ์ ถั่วพีแคน ถั่วเฮเซลนัท
เป็นต้น
นอกจากการกินอาหารที่มีประโยชน์และหลากหลายแล้ว คุณแม่ยังสามารถเสริมสุขภาพด้วยการดื่มนมค่ะ
โดยสามารถเลือกนมที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นจำหรับคนท้อง เช่น มีแคลเซียมสูง อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก โฟลิก โคลีน
เป็นต้น
ซึ่งการดื่มนมก็จะช่วยให้คุณแม่ยังได้รับสารอาหารจำเป็นในปริมาณที่เหมาะสม แม้ว่าในวันนั้นอาจจะกินอาหารได้น้อยลง

อาหารแนะนำสำหรับคุณแม่ที่มีภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์
สำหรับคุณแม่ที่เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ กรณีเช่นนี้จำเป็นจะต้องมีการควบคุมอาหารอย่างใกล้ชิด
เพื่อป้องกันไม่ให้ระดับน้ำตาลในเลือดสุง อาหารที่เหมาะสำหรับคุณแม่ที่เป็นเบาหวานคืออาหารจำพวกผัก ผลไม้
และอาหารที่มีปริมาณน้ำตาลน้อย เพื่อช่วยควบคุมให้ระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติ ไม่ก่อให้เกิดภาวะข้างเคียงตามมา
โดยในแต่ละมื้อ คุณแม่ควรปรับปรุงอาหารการกิน ดังนี้
•
มื้อเช้า: คุณแม่เบาหวานควรเลือกกินอาหารอ่อน ย่อยง่าย เช่น โจ๊กปลา หรือ
โจ๊กไก่ หรือจะเป็นข้าวต้มก็ได้ค่ะ
•
มื้อกลางวัน: เลือกกินอาหารที่มีรสชาติจัดขึ้นมาได้บ้างเล็กน้อย
แต่ไม่ควรรสจัดเกินไป หวานจัด เค็มจัด เผ็ดจัด ควรเลี่ยงค่ะ แนะนำเป็นก๋วยเตี๋ยว เกาเหลา
•
มื้อเย็น: เลือกกินอาหารอ่อน ย่อยง่าย เพื่อไม่ให้แน่นหรืออึดอัดท้องเกินไป
อาจส่งผลเสียต่อการนอนได้ แนะนำเป็นแกงเลียง ผัดผักต่าง ๆ
ส่วนผลไม้ จริง ๆ แล้วหากไม่ได้มีอาการแพ้ผลไม้ชนิดใดเป็นพิเศษ คนท้องกินผลไม้ได้ทุกชนิดค่ะ
แต่สำหรับคุณแม่ที่เป็นเบาหวาน ควรเลือกกินผลไม้ที่มีน้ำตาลน้อย จะดีต่อสุขภาพมากกว่า เช่น มะละกอ สับปะรด พุทรา มังคุด
แอปเปิ้ล ทับทิม แก้วมังกร ลองกอง มะม่วง ฝรั่ง องุ่น เป็นต้น
กินอย่างไรให้ลูกในท้องแข็งแรง หรือกินอะไรให้ลงลูกในท้อง
การกินให้ลงลูกนั้น ก่อนอื่นเลยคุณแม่ต้องระลึกไว้เสมอว่า
ทุกอย่างที่แม่กิน ลูกในท้องจะได้รับด้วย ดังนั้น ถ้าหากคุณแม่อยากให้ลูกแข็งแรง ง่าย ๆ เลยค่ะ
เลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ กินอาหารให้หลากหลาย กินให้ครบทั้ง 5 หมู่
หลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่สะอาด ไม่ผ่านการปรุงสุก งดคาเฟอีน แอลกอฮอล์
รวมถึงหลีกเลี่ยงสารเสพติดและพฤติกรรมที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เพื่อที่ทารกในครรภ์จะได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์
มีส่วนช่วยเสริมสร้างร่างกายและพัฒนาระบบต่าง ๆ ของทารกให้สมบูรณ์ตามวัย
ส่วนจะรู้ได้ยังไงว่ากินแล้วจะลงลูกในท้อง ก็สามารถรู้ได้จากการไปตรวจครรภ์ในแต่ละครั้งที่แพทย์นัดนั่นแหละค่ะ
ถ้าหากทารกมีพัฒนาการที่เป็นไปตามช่วงอายุครรภ์
ก็แปลว่าการดูแลสุขภาพของคุณแม่มีส่วนสำคัญต่อการเจริญเติบโตที่แข็งแรงของทารก
แต่ถ้าหากทารกมีพัฒนาการไม่เป็นไปตามเกณฑ์ มีขนาดตัวเล็ก หรือมีน้ำหนักตัวน้อยกว่าที่ควรจะเป็น
ซึ่งนอกจากจะมีสาเหตุมาจากปัจจัยในเรื่องภาวะแทรกซ้อน หรือความผิดปกติในขณะตั้งครรภ์แล้ว
บางครั้งก็อาจจะมาจากการที่คุณแม่ไม่ได้ดูแลตัวเองเป็นอย่างดี หรือขาดแคลนอาหารที่มีประโยชน์
เหล่านี้ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ทารกมีพัฒนาการไม่ตรงตามเกณฑ์ได้ค่ะ
อาการคนท้อง 30 สัปดาห์
ที่พบได้บ่อยในช่วงนี้
อาการคนท้อง 30 สัปดาห์ที่สามารถพบได้โดยทั่วไป มีดังนี้
• ทารกมีการดึงพลังงานและสารอาหารจากคุณแม่มาใช้ในการเจริญเติบโตมากขึ้น
จึงอาจทำให้คุณแม่รู้สึกอ่อนเพลีย และเมื่อยล้าได้ง่ายในระยะนี้
• รอยแตกลายที่ใหญ่อยู่แล้ว สัปดาห์นี้อาจขยายมากขึ้นกว่าเดิม
ทำให้เกิดอาการคันได้ง่าย ควรดูแลอย่าให้อับชื้น ใช้มอยส์เจอไรเซอร์ในการบำรุงผิว
หรือใช้ยาทาแก้คันในกรณีที่มีอาการคันมาก ๆ
• คุณแม่อาจจะรู้สึกว่าช่วงนี้ข้อเท้าบวมมากขึ้น
ทั้งนี้เพราะขนาดครรภ์ที่ใหญ่และน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น ทำให้เท้าต้องแบกรับน้ำหนักเอาไว้ตลอดเวลา จึงทำให้บวมง่าย
• คุณแม่เริ่มมีอาการท้องอืด อาหารไม่ย่อย กรดไหลย้อนถี่ขึ้นกว่าเดิม
เพราะขนาดตัวของทารกที่ใหญ่ขึ้นเริ่มกดดันกระเพาะอาหาร ทำให้การย่อยอาหารทำได้ไม่ดี
• ท้องแข็งบ่อยขึ้น แต่ระวังจะสับสนว่ามีอาการเจ็บท้องใกล้คลอดนะคะ
ถ้าหากปวดท้องแล้วหายได้เอง ปวดแบบไม่รุนแรงมากถือว่าปกติค่ะ แต่ถ้าปวดมาก ปวดบ่อย ทำยังไงก็ไม่หายปวด
และปาดมดลูกเริ่มเปิด กรณีนี้ถือว่าอันตรายและเสี่ยงต่อการคลอด ให้รีบไปพบแพทย์ค่ะ
ตั้งครรภ์ 30 สัปดาห์
สัปดาห์นี้มีนัดตรวจอะไรบ้างไหม
ในสัปดาห์นี้ส่วนใหญ่แล้วคุณแม่จะมีนัดกับแพทย์ค่ะ โดยแพทย์จะนัดคุณแม่ให้เข้ามาทำการตรวจครรภ์และตรวจสุขภาพ
สอบถามเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ การดิ้นของลูก และอื่น ๆ
ส่วนในกรณีที่คุณแม่มีความเสี่ยงในการตั้งครรภ์แพทย์ก็จะมีการอัลตราซาวนด์เพื่อดูว่าทารกยังเป็นปกติอยู่ไหม
มีพัฒนาการเป็นอย่างไร
แต่ถ้าหากคุณแม่ไม่ได้มีภาวะแทรกซ้อนใด ๆ เลย แพทย์อาจจะไม่ได้มีการอัลตราซาวนด์ให้ค่ะ
หรือถ้าหากคุณแม่ต้องการอัลตราซาวนด์ก็สามารถปรึกษากับแพทย์ได้เช่นกันค่ะ
อายุครรภ์ 30 สัปดาห์
แล้วมีอาการแบบนี้ ปกติหรือไม่?
อายุครรภ์ 30 สัปดาห์ คุณแม่อาจพบกับอาการต่าง ๆ ที่ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องปกติของคนท้องหรือเปล่า
หรือเป็นสัญญาณอันตรายไหม ซึ่งขอแนะนำว่าคุณแม่ควรจะหมั่นสังเกตอาการตนเองอยู่เสมอว่ามีอาการใด ๆ
ที่ผิดแปลกไปจากเดิมหรือไม่
และหากมีอาการใด ๆ ที่สงสัยว่าอาจจะเป็นสัญญาณอันตราย หรือไม่แน่ใจว่าอาการแบบนี้ผิดปกติไหม
ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยทันทีค่ะ
ท้อง 30 สัปดาห์ ท้องแข็งบ่อย ปกติไหม
อาการท้องแข็งบ่อยในช่วงไตรมาสที่ 3 นี้ โดยมากแล้วถือว่าเป็นเรื่องปกติค่ะ ซึ่งอาจจะมีสาเหตุมาจาก
• ทารกดิ้นแรง
• คุณแม่ทำงานหนัก
หรือออกแรงมาก
• คุณแม่อยู่ในท่าเดิมนาน ๆ เช่น เดินนาน ๆ หรือยืนนาน ๆ
• มดลูกมีการหดรัดตัวตามปกติในระหว่างตั้งครรภ์
ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะทำให้คุณแม่มีอาการปวดท้องเป็นครั้งคราว แต่จะไม่ปวดนาน อาจจะปวดประมาณ 10-20 นาที แล้วก็จะหายไปเอง
การเปลี่ยนท่านั่ง ท่านอน หรือลุกขึ้นเดิน หรือกินยาแก้ปวดก็ช่วยให้อาการปวดท้องดีขึ้นได้ กรณีแบบนี้ไม่อันตรายค่ะ
แต่ถ้าหากอาการปวดท้องของคุณแม่นั้นเริ่มปวดถี่ขึ้น ปวดหลายครั้งต่อวัน และอาการปวดนั้นค่อย ๆ รุนแรงขึ้น
และอาการปวดไม่ทุเลาลง แม้ว่าจะลองเปลี่ยนท่าทาง หรือกินยาแก้ปวดก็ยังไม่ดีขึ้น พร้อมกับมีอาการคล้ายปากมดลูกเปิด
ให้รีบไปพบแพทย์ทันที เพราะคุณแม่อาจมีภาวะแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์ หรือเสี่ยงที่จะคลอดก่อนกำหนดได้ค่ะ
ท้อง 30 สัปดาห์ ปวดหน่วง ควรกังวลไหม
อาการปวดหน่วงที่ท้อง ถามว่าควรกังวลไหม ก็ขึ้นอยู่กับว่าอาการปวดหน่วงนั้นรุนแรงมากแค่ไหน
เพราะโดยมากแล้วคนท้องจะมีอาการปวดหน่วงเนื่องจากการขยายตัวของมดลูก
การยืดตัวของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นที่หน้าท้องอยู่แล้ว
ซึ่งอาการปวดแบบนี้จะปวดเป็นพัก ๆ ไม่นานก็หาย นอนพัก กินยา หรือเปลี่ยนอริยาบถก็รู้สึกดีขึ้นค่ะ
แต่...ถ้าหากอาการปวดนั้นมีลักษณะที่ปวดรุนแรงจนคุณแม่ทนไม่ไหว ปวดจนลุกไม่ขึ้น ปวดจนนอนไม่หลับ
หรือมีอาการเลือดออกร่วมด้วย อันนี้อาจจะเป็นสัญญาณอันตรายได้ ให้รีบไปพบแพทย์ค่ะ
ท้อง 30 สัปดาห์ ปวดท้องน้อย เกิดจากอะไร
อาการปวดท้องน้อยก็เป็นอาการปกติของแม่ท้องค่ะ แม่ท้องหลายคนมีอาการปวดท้องน้อยเป็นครั้งคราว
เพราะอย่างที่บอกว่ามดลูกของคุณแม่นั้นจะมีการขยายตัวเพื่อรองรับการเจริญเติบโตของลูกน้อย ทำให้เส้นเอ็น
กล้ามเนื้อที่ยึดมดลูกมีการดึงรั้งกัน จึงทำให้คุณแม่มีอาการปวดท้องน้อย
ซึ่งก็จะไม่ใช่อาการปวดที่รุนแรงค่ะ ปวดเป็นพัก ๆ ก็ดีขึ้น นั่งพัก นอนพัก หรือกินยาก็ช่วยให้ดีขึ้นได้
แต่...ถ้าหากอาการปวดนั้นมีลักษณะที่ปวดรุนแรงจนคุณแม่ทนไม่ไหว ปวดจนลุกไม่ขึ้น ปวดจนนอนไม่หลับ
หรือมีอาการเลือดออกร่วมด้วย อันนี้อาจจะเป็นสัญญาณอันตรายได้ ให้รีบไปพบแพทย์ค่ะ
ท้อง 30 สัปดาห์ ปวดหัวหน่าว อันตรายไหม
อาการปวดหัวหน่าวในไตรมาสสามนั้น ถือเป็นธรรมชาติของคนท้อง และมักไม่ก่อให้เกิดอันตรายรุนแรง
โดยอาการปวดหัวหน่าวนั้นเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ อาทิ
• ฮอร์โมนตั้งครรภ์ส่งผลให้กล้ามเนื้อมีการคลายตัว ช่องคลอดขยาย
เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการคลอดลูก
• ขนาดตัวของทารกและมดลูกขยาย หรือตั้งครรภ์แฝด
ทำให้เชิงกรานของคุณแม่ขยายและต้องรับน้ำหนักมาก จึงรู้สึกปวดหัวหน่าวได้
• การไหลเวียนเลือดไม่ค่อยดี เนื่องจากทารกมีขนาดตัวใหญ่
ก็จะทำให้ขาบวมหรือมีอาการตึงที่หัวหน่าว
• การอยู่ในท่าเดิมนาน ๆ ก็อาจทำให้เกิดอาการปวดหัวหน่าวได้เช่นกัน
ตั้งครรภ์ 30 สัปดาห์ มีเลือดออก ปกติไหม
อาการเลือดออกในขณะตั้งครรภ์ เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุค่ะ
โดยอาจจะมาจากเลือดเก่าที่คั่งค้างอยู่ หรือเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ในขณะตั้งครรภ์ก็ได้
แต่...คุณแม่จะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเลือดที่ออกมานั้นเป็นสัญญาณความผิดปกติหรือเปล่า
จึงจำเป็นที่จะต้องไปพบแพทย์ทันทีที่พบว่ามีอาการเลือดออกในขณะตั้งครรภ์ แล้วให้แพทย์วินิจฉัยหาสาเหตุ
พร้อมกับตรวจดูว่าทารกในครรภ์ยังปกติหรือเปล่า ถ้าหากลูกในท้องยังแข็งแรงดี ก็ไม่มีอะไรต้องกังวลค่ะ
แต่ถ้าหากอาการเลือดออกนั้นเกิดจากการแท้งบุตร ครรภ์เป็นพิษ การกระทบกระเทือน หรือภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ
การที่คุณแม่ไปพบแพทย์ทันเวลา ก็จะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับแม่และทารกได้อย่างทันท่วงทีค่ะ
ข้อแนะนำสำหรับคุณแม่อายุครรภ์ 30
สัปดาห์
คุณแม่อายุครรภ์ 30 สัปดาห์ ควรใส่ใจดูแลตนเองเพื่อรักษาสุขภาพให้แข็งแรง หมั่นกินอาหารที่มีประโยชน์
นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ผ่อนคลายความเครียด งดบุหรี่ แอลกอฮอล์ และสารเสพติด
รวมถึงควรเริ่มลดกิจกรรมและการงานต่าง ๆ ที่ต้องออกแรงด้วยค่ะ การก้ม ๆ เงย ๆ บ่อย ๆ อาจส่งผลต่อสุขภาพของคุณแม่
ทำให้ปวดหลัง หรือปวดเมื่อยมากขึ้น ทั้งยังเสี่ยงต่อการพลัดตก หกล้ม ซึ่งอาจกระทบกระเทือนต่อครรภ์และทารกในครรภ์ได้
และคุณแม่ควรจะไปพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง เพื่อติดตามการตั้งครรภ์ว่าทารกในครรภ์ยังปกติไหม มีพัฒนาการตามวัยหรือเปล่า
หรือมีภาวะความเสี่ยงในขณะตั้งครรภ์หรือไม่
ฝึกนับลูกดื้น
การนับลูกดิ้นนั้น คุณแม่ควรนับ 2 ครั้งต่อวัน
โดยครั้งแรกของวันให้เริ่มนับในตอนเช้า แต่ควรนับในตอนที่คุณแม่ไม่ได้ทำงานบ้านหรือกิจกรรมใด ๆ นะคะ เพราะถ้านับไป
ทำอย่างอื่นไป จะทำให้การนับคลาดเคลื่อนได้ และนับครั้งที่สองในตอนเย็น ๆ หรือจะนับในตอนหัวค่ำก็ได้ค่ะ โดยการนับลูกดิ้น
ให้นับดังนี้
• ในแต่ละครั้งที่นับ ให้ทำการจับเวลาและนับดูว่าลูกดิ้นครบ 10 ครั้งเมื่อไหร่ เช่น
เริ่มจับเวลาตอน 8 โมง และนับลูกดิ้นครั้งที่ 10 ได้ตอน 11 โมง ก็ให้บันทึกลงไปค่ะ
• แต่ทารกในครรภ์จะดิ้นมากหรือน้อยแตกต่างกันไป เด็กบางคนพลังเยอะมาก อาจจะดิ้นครบ 10
ครั้งตั้งแต่ 10 นาทีแรก อันนี้คุณแม่ไม่ต้องกังวลค่ะ ลูกดิ้นมากแปลว่าลูกมีสุขภาพแข็งแรงดี
• แต่ถ้าจับเวลา 1 ชั่วโมงแล้วลูกยังดิ้นไม่ถึง 10 ครั้ง ก็ยังไม่ต้องตกใจนะคะ
ให้คุณแม่หาอะไรกินรองท้องก่อน แล้วไปนอนพักสักครู่ จากนั้นค่อยเริ่มนับอีกครั้ง ถ้าภายใน 1 ชั่วโมง ลูกดิ้นไม่ถึง 10
ครั้ง ก็อย่าเพิ่งหยุดนับค่ะ ให้นับต่อไปและจดบันทึกเอาไว้ว่าลูกน้อยดิ้นครบ 10 ครั้งในเวลากี่ชั่วโมง
• ส่วนในกรณีที่หมดวันแล้ว หรือครบทั้ง 12 ชั่วโมงแล้ว ลูกดิ้นไม่ถึง 10 ครั้ง
ให้คุณแม่รีบไปพบแพทย์ทันทีค่ะ
• และถ้าหากในช่วงครึ่งวันเช้า คุณแม่นับลูกดิ้นแล้วพบว่าลูกดิ้นน้อยกว่า 4 ครั้ง
ไม่ต้องรอให้หมดวันนะคะ ตรงดิ่งไปที่โรงพยาบาลเพื่อพบแพทย์ทันที แล้วรีบเข้ารับการตรวจครรภ์โดยเร็ว
เพราะอาจเกิดความผิดปกติกับทารกในครรภ์ได้ค่ะ
อาการแบบไหนเสี่ยงครรภ์เป็นพิษ
สัญญาณและอาการที่อาจบ่งบอกว่าคุณแม่เสี่ยงต่อภาวะครรภ์เป็นพิษ ดังนี้
• ตรวจพบว่ามีความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
หรือมีภาวะความดันโลหิตสูงมาก่อนหน้านี้แล้ว
• มีปัญหาเกี่ยวกับโรคไต
หรือตรวจพบโปรตีนปริมาณมากในปัสสาวะ
• ระดับเกล็ดเลือดลดลง
• ค่าเอนไซม์ในตับสูง
• มีอาการปวดศีรษะรุนแรง
• มีอาการตาพร่ามัว หรือตาไวต่อแสง
• มีอาการบวมน้ำ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการบวมที่ใบหน้าและมือ
• หายใจถี่ ๆ
• ปวดท้องช่วงบน หรือบริเวณใต้ซี่โครงด้านขวา
•
คลื่นไส้หรืออาเจียน
• น้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ภาวะครรภ์เป็นพิษนี้จำเป็นที่จะต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที โดยอาจจะต้องได้รับยาลดความดันโลหิต
หรือการรักษาตามอาการ
ในกรณีที่ฉุกเฉินมากจริง ๆ อาจจำเป็นจะต้องมีการทำคลอดด่วนทันที
หรือร้ายแรงที่สุดแพทย์อาจวินิจฉัยให้ยุติการตั้งครรภ์เพื่อป้องกันอันตรายต่อทั้งแม่และทารกในครรภ์
ภาวะครรภ์เป็นพิษนี้จำเป็นที่จะต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที โดยอาจจะต้องได้รับยาลดความดันโลหิต
หรือการรักษาตามอาการ หรือในกรณีที่ฉุกเฉินมากจริง ๆ อาจจำเป็นจะต้องมีการทำคลอดด่วนทันที
หรือร้ายแรงที่สุดแพทย์อาจวินิจฉัยให้ยุติการตั้งครรภ์เพื่อป้องกันอันตรายต่อทั้งแม่และทารกในครรภ์
ท่านอนสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์
ปกติแล้วท่านอนที่เหมาะสมสำหรับแม่ท้องคือท่านอนหงาย
กับ ท่านอนตะแคงค่ะ แต่ในไตรมาสสามนี้ การนอนหงายจะไม่เหมาะกับคุณแม่แล้วค่ะ
เพราะขนาดครรภ์และน้ำหนักตัวของคุณแม่เพิ่มมากขึ้น การนอนหงายจะยิ่งทำให้เกิดการกดทับที่หลังมากขึ้นกว่าเดิม
มากไปกว่านั้น มดลูกหรือทารกในครรภ์อาจจะไปกดทับเส้นเลือดใหญ่กลางลำตัว ทำให้เลือดไหลเวียนได้ไม่ดี
เสี่ยงต่อภาวะความดันต่ำ ทำให้เป็นลมหรือหมดสติได้ค่ะ
ส่วนท่านอนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณแม่ไตรมาสสาม คือ ท่านอนตะแคงซ้ายค่ะ
ท่านี้จะช่วยป้องกันไม่ให้มดลูกกดทับเส้นเลือดดำใหญ่ และช่วยให้เลือดจากขาไหลย้อนกลับเข้าสู่หัวใจได้ดีขึ้น
ทำให้ไตสามารถขับถ่ายของเสียได้ตามปกติ
นอกจากนี้ เวลานอน คุณแม่ควรหาหมอนใบเล็ก ๆ นุ่ม ๆ มารองท้อง หรือรองที่ขา
เพื่อช่วยรับน้ำหนักท้องและไม่ให้ท้องโย้ลงต่ำมากไป เพราะจะทำให้คุณแม่รู้สึกตึงและถ่วงท้องมากเกินไป
วิธีสังเกตความผิดปกติของเต้านม และวิธีการตรวจหัวนม
ปกติแล้วเต้านมและหัวนมของคุณแม่จะเริ่มเปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่ช่วงไตรมาสแรก ไม่ว่าจะเป็น เต้านมใหญ่ขึ้น
มีเส้นเลือดขึ้นที่บริเวณเต้านม หัวนมใหญ่ขึ้น สีหัวนมคล้ำขึ้น เวลาจับที่หัวนมจะรู้สึกเสียว หรือเจ็บแปล๊บ
และเมื่อเข้าไตรมาสสามก็อาจจะพบว่าหัวนมมีน้ำไหลออกมาด้วย ซึ่งอาการเหล่านี้เป็นเรื่องปกติของคนท้องค่ะ อย่างไรก็ตาม
เรื่องความผิดปกติของเต้านมในขณะตั้งครรภ์ ก็ถือว่าสำคัญค่ะที่คุณแม่ควรจะมีการตรวจดูเต้านม หรือสังเกตหัวนมบ่อย ๆ
ว่ามีความผิดปกติใด ๆ หรือเปล่า
วิธีตรวจหัวนมและเต้านม สามารถทำได้ ดังนี้
• ให้ใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้กดลงไปที่ลานนมประมาณ 1 นิ้ว ถ้าหยิบติดหัวนมขึ้นมา
ถือว่าปกติค่ะ แต่ถ้าหยิบแล้วหัวนมผลุบเข้าไป แบบนี้เรียกว่าหัวนมบอดค่ะ
• แต่ถ้าหัวนมบุ๋มหายเข้าไปในเต้านม เรียกว่าหัวนมบุ๋ม
• ส่วนถ้าลองจับเต้านมดูแล้วรู้สึกว่าเต้านมไม่เท่ากัน อันนี้ปกติค่ะ
เป็นเรื่องธรรมชาติที่จะมีเต้านมข้างหนึ่งใหญ่ ข้างหนึ่งเล็ก
ซึ่งหัวนมที่บอดหรือบุ๋มมาก ๆ นี้ถือว่าผิดปกติค่ะ
เพราะเวลาให้นมลูกจะทำให้คุณแม่รู้สึกเจ็บหัวนมหรือเจ็บเต้านมเวลาที่ให้นมลูกค่ะ
กิจกรรมเสริมสร้างพัฒนาการลูกในครรภ์
การเสริมสร้างพัฒนาการสำหรัลทารกในครรภ์ 30 สัปดาห์นี้ ให้คุณแม่เน้นหนักที่โภชนาการเลยค่ะ
หมั่นกินอาหารที่ดีและมีประโยชน์ เพื่อให้ทารกได้รับสารอาหารที่เหมาะสำหรับการเจริญเติบโต
และลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการขาดสารอาหาร เช่น ทารกเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนเพราะขาดแคลเซียม
ทารกเสี่ยงต่อโรคโลหิตจางเนื่องจากการขาดธาตุเหล็ก
มากไปกว่านั้น ในช่วงนี้คุณพ่อคุณแม่ควรพูดคุยกับลูกบ่อย ๆ เปิดเพลง อ่าหนังสือ หรือเล่านิทานให้ลูกฟังก็ได้ค่ะ
เพราะทารกในสัปดาห์นี้สามารถได้ยินเสียงจากรอบตัวได้ชัดเจนมากขึ้น
การเริ่มสนทนาและสื่อสารกับลูกในตอนนี้ถือว่ามีส่วนช่วยสำคัญในการปูพื้นฐานทักษะด้านภาษาและการสื่อสารของลูกในอนาคตได้ดีทีเดียวค่ะ
ไขข้อข้องใจเมื่อท้อง 30 สัปดาห์ กับ Enfa
Smart Club
ตั้งครรภ์ 30 สัปดาห์ ปวดหน่วง อันตรายไหม?
อาการปวดหน่วงที่ท้องหรือท้องน้อย เกิดจากมดลูกของคุณแม่นั้นจะมีการขยายตัวเพื่อรองรับการเจริญเติบโตของลูกน้อย
ทำให้เส้นเอ็น กล้ามเนื้อที่ยึดมดลูกมีการดึงรั้งกัน จนเกิดอาการปวดหน่วงที่ท้อง ซึ่งอาการปวดแบบนี้จะปวดเป็นพัก ๆ
ไม่นานก็หาย นอนพัก กินยา หรือเปลี่ยนอริยาบถก็รู้สึกดีขึ้นค่ะ
แต่...ถ้าหากอาการปวดนั้นมีลักษณะที่ปวดรุนแรงจนคุณแม่ทนไม่ไหว ปวดจนลุกไม่ขึ้น ปวดจนนอนไม่หลับ
หรือมีอาการเลือดออกร่วมด้วย อันนี้อาจจะเป็นสัญญาณอันตรายได้ ให้รีบไปพบแพทย์ค่ะ
ท้อง 30 สัปดาห์ หายใจไม่ค่อยออก เกิดจากอะไร?
เนื่องจากขนาดครรภ์ของคุณแม่ขยายใหญ่มากขึ้น ทำให้มดลูกมีการดันและเบียดปอดให้มีปริมาตรเล็กลง
ส่งผลให้คุณแม่หายใจได้ไม่เต็มที่ หรือคุณแม่หายใจเร็วขึ้นถี่ขึ้นกว่าปกติเพราะหายใจไม่ค่อยออก
ท้อง 30 สัปดาห์ ลูกกลับหัว แล้วหรือยัง?
ทารกมีการกลับหัวอยู่ตลอดค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงไตรมาสสอง ขนาดมดลูกมีเนื้อที่มากพอให้ทารกสามารถกลับหัว กลับหาง
เปลี่ยนท่าทางได้ตลอดเวลา ซึ่งทารกก็จะเลือกอยู่ในท่าที่ตัวเองรู้สึกสบาย ถ้าเริ่มเมื่อย
หรือรู้สึกไม่สบายตัวก็จะมีการเปลี่ยนท่าอีกจนกว่าจะรู้สึกสบายตัวค่ะ ดังนั้น
ในช่วงนี้ถ้าหากพบทารกกลับหัวจึงไม่ใช่เรื่องแปลกค่ะ
แต่เมื่ออายุครรภ์ 35-36 สัปดาห์ขึ้นไป ตอนนี้ทารกจะมีขนาดใหญ่มากขึ้น
เนื้อที่ภายในมดลูกก็ไม่ได้มากพอให้ทารกเปลี่ยนท่าได้บ่อย ๆ ดังนั้น ช่วงนี้ทารกอยู่ในท่าไหนก็จะอยู่ในท่านั้น
จะไม่เปลี่ยนท่าบ่อย ๆ เหมือนในช่วงไตรมาสสองแล้วค่ะ ซึ่งส่วนมากระยะนี้ทารกก็มักจะอยู่ในท่ากลับหัวพร้อมคลอดแล้วค่ะ
ตั้งครรภ์ 30 สัปดาห์ อาหารแนะนำที่ควรรับประทาน?
แม่อายุครรภ์ 30 สัปดาห์ ควรกินอาหารให้หลากหลาย มีประโยชน์ และควรจะครบทั้ง 5 หมู่
เพื่อให้ทั้งแม่และทารกในครรภ์มีสุขภาพแข็งแรง และควรจะเน้นสารอาหารที่ดีต่อการตั้งครรภ์ ได้แก่
•
ดีเอชเอ พบมากในอาหารจำพวก ปลาทะเล อโวคาโด ไข่แดง เป็นต้น
•
ธาตุเหล็ก พบได้มากในอาหารจำพวก เนื้อแดง ไข่แดง ตับ งา และผักสีเขียวเข้ม
เป็นต้น
•
โฟเลต พบได้มากในอาหารจำพวก ตับ ไข่ ผักใบเขียว และถั่วต่าง ๆ เป็นต้น
•
แคลเซียม พบได้มากในอาหารจำพวกนม หรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม เช่น ชีส เนย
หรือโยเกิร์ต เป็นต้น
•
ไอโอดีน พบในอาหารทะเลทุกชนิด เกลือไอโอดีน ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม กระเทียม
หรืองา เป็นต้น
•
โคลีน พบมากในอาหารจำพวกไข่ เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน แซลมอน ไก่ บร็อคโคลี่
กะหล่ำดอก เป็นต้น
• โอเมก้า
3 พบได้มากในอาหารจำพวกปลาทะเล เช่น ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล ปลาซาร์ดีน
ปลาทูน่า ปลาซาร์ดีน ปลาเฮอริ่ง และพืชตระกูลถั่ว เช่น เมล็ดแฟลกซ์ ถั่วพีแคน ถั่วเฮเซลนัท เป็นต้น
บทความแนะนำสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์