Enfa สรุปให้
อายุครรภ์ 33 สัปดาห์ ทารกจะมีความยาวประมาณ 18-19 นิ้ว หนักประมาณ 2 กิโลกรัม หรือมีขนาดพอ ๆ กับผลทุเรียน
อายุครรภ์ 33 สัปดาห์ กระดูกของทารกแข็งแรงและเชื่อมต่อกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นการเตรียมพร้อมถ้าต้องคลอดด้วยวิธีธรรมชาติ
อายุครรภ์ 33 สัปดาห์ สมองของและระบบประสาทส่วนกลางของทารกพัฒนามากขึ้น เส้นใยประสาทมีการสร้างเยื่อหุ้มที่มาจากไขมัน ทำให้การส่งผ่านสัญญาณในเส้นประสาททำได้รวดเร็วขึ้นด้วย
เลือกอ่านตามหัวข้อ
ท้อง 33 สัปดาห์ ทารกในครรภ์ของคุณแม่ไม่เพียงแต่มีขนาดใหญ่มากขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีพัฒนาการด้านต่าง ๆ จนเกือบจะสมบูรณ์แล้วด้วย
เรามาดูกันดีกว่าว่าคุณแม่อายุครรภ์ 33 สัปดาห์นี้ ทารกจะมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง แล้วคุณแม่จะมีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกิดขึ้นบ้างในระยะนี้ ตามไปหาคำตอบพร้อม ๆ กันกับ Enfa ได้เลยค่ะ
ทารกในครรภ์สัปดาห์นี้มีพัฒนาการด้านสมองและระบบประสาทมากขึ้นเรื่อย ๆ จนใกล้จะสมบูรณ์แล้ว มากไปกว่านั้น ทารกก็เริ่มประสานการหายใจกับการดูดและการกลืนมากขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมกับชีวิตหลังคลอด
ทารกในครรภ์ 33 สัปดาห์หลายคนยังสามารถเปลี่ยนท่าทางเอาหัวขึ้น และเอาหัวลงอยู่บ้าง แต่ทารกหลายคนก็เริ่มอยู่ในท่าที่พร้อมคลอดแล้วค่ะ
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทารกทุกคนนะคะที่เริ่มกลับหัวในสัปดาห์นี้ ทารกบางคนอาจจะเริ่มกลับหัวในช่วงสัปดาห์ที่ 35 เป็นต้นไป แต่เด็กหลายคนก็จะเริ่มกลับหัวในระหว่างสัปดาห์ที่ 32-36 สัปดาห์ค่ะ
คุณแม่ที่มีอายุครรภ์ 30 สัปดาห์ เมื่อเทียบเป็นจำนวนเดือนแล้วจะเท่ากับอายุครรภ์ 8 เดือน 1 สัปดาห์ค่ะ
ระบบและอวัยวะต่าง ๆ ของทารกในสัปดาห์นี้ มีแต่พัฒนาเพิ่มมากขึ้น ไม่มีหยุดนิ่ง ซึ่งระบบต่าง ๆ ของทารกในสัปดาห์นี้ก็พัฒนามาจนใกล้จะถึงจุดสมบูรณ์แล้วค่ะ
ทารกอายุครรภ์ 33 สัปดาห์ จะมีความยาวประมาณ 18-19 นิ้ว มีขนาดพอ ๆ กับผลทุเรียนค่ะ
อายุครรภ์ 33 สัปดาห์ น้ำหนักทารกจะอยู่ที่ประมาณ 2 กิโลกรัมค่ะ
ในสัปดาห์ที่ 33 นี้ พื้นที่ภายในมดลูกนั้นยังกว้างพอที่จะทำให้ทารกเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ อีกทั้งระบบร่างกายของทารกก็พัฒนามาจนเกือบสมบูรณ์แล้ว ทำให้การตอบสนองต่อแสง สี เสียงทำได้ดีขึ้น เวลาคุยกัน อ่านนิทาน หรือเปิดเพลงให้ลูกฟัง ลูกสามารถจะตอบโต้ด้วยการดิ้นหรือเตะท้องได้มากขึ้น
แต่ถ้าถามว่าลูกจะดิ้นบ่อยแค่ไหน อันนี้ตอบได้ยากค่ะ เพราะทารกแต่ละคนจะดิ้นมากดิ้นน้อยไม่เท่ากัน และทารกในระยะนี้สามารถดิ้นได้มากกว่า 300-400 ครั้งต่อวัน หรืออาจดิ้นได้มากถึง 700 ครั้งต่อวันค่ะ
การพัฒนาของอวัยวะและระบบต่าง ๆ ที่สำคัญของทารกในช่วงอายุครรภ์ 32 สัปดาห์ มีดังนี้
• สมองของทารกในครรภ์มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ระบบประสาทส่วนกลางของทารกพัฒนาไปอย่างมาก เส้นใยประสาทมีการสร้างเยื่อหุ้มที่มาจากไขมัน ทำให้การส่งผ่านสัญญาณในเส้นประสาททำได้รวดเร็วขึ้น มีการแผ่กิ่งก้านสาขา เพื่อเชื่อมต่อกันเป็นร่างแหของระบบประสาท
• กระดูกของทารกแข็งแรงและเชื่อมต่อกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นการเตรียมพร้อมถ้าต้องคลอดด้วยวิธีธรรมชาติ
• ผมของทารกหนาขึ้น สีผมในช่วงนี้อาจเปลี่ยนไป เมื่อทารกโตขึ้นขณะเดียวกัน ขนอ่อนตามส่วนต่างๆ จะหลุดร่วงไปเกือบหมดและสร้างขนชุดใหม่ที่หนาขึ้นปกคลุมไขเคลือบผิวหนัง
• นัยน์ตาของลูกน้อยเริ่มปรับให้เข้ากับแสงสว่างหรือความมืดได้แล้ว
• ปริมาณน้ำคร่ำของคุณแม่อายุครรภ์ 33 สัปดาห์ จะไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก แต่ลูกมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้มีพื้นที่ในการเคลื่อนไหวน้อยลง คุณแม่จึงรู้สึกลูกดิ้นแรงน้อยลง แต่ความถี่ของการดิ้นยังไม่เปลี่ยนแปลง
แม่ท้อง 33 สัปดาห์หลายคนอาจต้องพบกับความเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายหลายอย่างในช่วงสัปดาห์นี้ มีดังนี้
• ภาวะโลหิตจางในคุณแม่ที่ท้องได้ 33 สัปดาห์จะเริ่มลดลง เนื่องจากปริมาณพลาสมาเริ่มมีปริมาณเท่ากับเซลล์เม็ดเลือดแดง อีกทั้งภาวะร่างกายของคุณแม่ในช่วงนี้จะสามารถดูดซึมธาตุเหล็กจากอาหารมื้อปกติเพิ่มขึ้นคุณแม่จึงไม่ต้องกังวลกับการบำรุงด้วยธาตุเหล็กอีกต่อไปแล้วเว้นแต่คุณแม่จะเป็นโรคโลหิตจาง
• ในอายุครรภ์ 33 สัปดาห์ คุณแม่จะมีอาการท้องแข็งถี่ขึ้น มดลูกอาจจะหดรัดตัวเป็นก้อนนูน การเริ่มแข็งตัวจะแข็งช้า ๆ คลายตัวช้า ๆ ไม่สม่ำเสมอ ไม่รู้สึกเจ็บท้อง แต่หากมดลูกมีการบีบตัวถี่ผิดปกติ เจ็บมากกว่าปกติ หรือ มีของเหลวไหลออกมาทางช่องคลอดด้วย คุณแม่ต้องรีบไปพบแพทย์ทันที
• อายุครรภ์ 33 สัปดาห์ คุณแม่จะเริ่มมีอาการปวดและชาที่นิ้วมือ ข้อมือและมือ คล้ายกับว่าเนื้อเยื่อในร่างกายกำลังกด ทับเส้นประสาทอยู่พยายามเหยียดนิ้วมือและข้อมือให้ตึง แช่มือในน้ำอุ่นตอนเช้า 5 -10 นาที จะช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้นอาการปวดและชาจะลดลง
• อายุครรภ์ 33 สัปดาห์ ซึ่งเป็นการตั้งครรภ์ในไตรมาสสาม ทารกมีขนาดตัวใหญ่ขึ้นและหนักมากถึง 2 กิโลกรัม จึงทำให้คุณแม่มีน้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้น แต่...คุณแม่ที่มีค่าดัชนีมวลกายหรือ BMI ปกติ ยังจำเป็นที่จะต้องดูแลน้ำหนักให้เพิ่มขึ้นมาไม่เกิน 3.5-4.5 กิโลกรัม หรือไม่ควรเกิน 5 กิโลกรัมในช่วงไตรมาสสุดท้ายนี้ค่ะ
สำหรับแม่ท้อง 33 สัปดาห์ ควรเน้นกินอาหารที่มีประโยชน์ หลากหลาย และครบทั้ง 5 หมู่ ในแต่ละมื้อควรประกอบไปด้วยเนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ รวมถึงธัญพืชต่าง ๆ ด้วย มากไปกว่านั้น ยังจำเป็นจะต้องเน้นกลุ่มสารอาหารที่จำเป็นสำหรับการตั้งครรภ์ ได้แก่
• ดีเอชเอ ช่วยพัฒนาทางสมอง ดวงตา และระบบประสาท ช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์ อาหารที่มีดีเอชเอสูง เช่น ปลาทะเล อโวคาโด ไข่แดง เป็นต้น
• ธาตุเหล็ก ช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงของภาวะโลหิตจางระหว่างตั้งครรภ์ ธาตุเหล็กพบได้มากในอาหารจำพวก เนื้อแดง ไข่แดง ตับ งา และผักสีเขียวเข้ม เป็นต้น
• โฟเลต ช่วยในการพัฒนาของระบบประสาทและสมอง รวมถึงช่วยลดความเสี่ยงที่เกี่ยวกับระบบประสาทของทารกในครรภ์ โฟเลตพบได้มากในอาหารจำพวก ตับ ไข่ ผักใบเขียว และถั่วต่าง ๆ เป็นต้น
• แคลเซียม ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันของแม่และทารกให้แข็งแรง แคลเซียมพบได้มากในอาหารจำพวกนม หรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม เช่น ชีส เนย หรือโยเกิร์ต เป็นต้น
• ไอโอดีน ช่วยให้ระดับฮอร์โมนไทรอยด์ในร่างกายปกติ ลดความเสี่ยงของโรคไทรอยด์ระหว่างตั้งครรภ์ ไอโอดีนพบในอาหารทะเลทุกชนิด เกลือไอโอดีน ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม กระเทียม หรืองา เป็นต้น
• โคลีน ช่วยลดความเสี่ยงของภาวะความบกพร่องที่ระบบท่อประสาทของทารกในครรภ์ โคลีน พบมากในอาหารจำพวกไข่ เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน แซลมอน ไก่ บร็อคโคลี่ กะหล่ำดอก เป็นต้น
• โอเมก้า 3 ช่วยเสริมสร้างและดูแลสุขภาพหัวใจ ระบบภูมิคุ้มกัน สมอง และดวงตา รวมถึงมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของภาวะซึมเศร้าหลังคลอดด้วย โอเมก้า 3 พบได้มากในอาหารจำพวกปลาทะเล เช่น ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล ปลาซาร์ดีน ปลาทูน่า ปลาซาร์ดีน ปลาเฮอริ่ง และพืชตระกูลถั่ว เช่น เมล็ดแฟลกซ์ ถั่วพีแคน ถั่วเฮเซลนัท เป็นต้น
นอกจากการกินอาหารที่มีประโยชน์และหลากหลายแล้ว คุณแม่ยังสามารถเสริมสุขภาพด้วยการดื่มนมค่ะ โดยสามารถเลือกนมที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นจำหรับคนท้อง เช่น มีแคลเซียมสูง อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก โฟลิก โคลีน เป็นต้น
ซึ่งการดื่มนมก็จะช่วยให้คุณแม่ยังได้รับสารอาหารจำเป็นในปริมาณที่เหมาะสม แม้ว่าในวันนั้นอาจจะกินอาหารได้น้อยลง
อาการคนท้อง 33 สัปดาห์ที่สามารถพบได้โดยทั่วไป มีดังนี้
• มีอาการร้อนวูบวาบบ่อยขึ้น เนื่องมาจากระบบเผาผลาญที่ทำงานหนักมากขึ้น
• ความผันผวนของฮอร์โมนในระยะนี้ และความเครียดที่เพิ่มขึ้น ส่งให้คุณแม่อาจจะมีอาการปวดศีรษะบ่อย ๆ
• ขนาดของมดลูกมีขนาดใหญ่ขึ้นและเริ่มดันขึ้นมาที่หน้าอก ทำให้ปอดถูกเบียดเล็กลง ส่งผลให้คุณแม่หายใจถี่ขึ้น หายใจลำบาก
• คุณแม่มีอาการหลง ๆ ลืมๆ บ่อย
• ขนาดของมดลูกเริ่มเบียดบังอวัยวะในระบบทางเดินอาหาร ทำให้มีอาการท้องอืด อาหารไม่ย่อย กรดไหลย้อน และท้องผูกบ่อยขึ้น
• ข้อเท้าบวมมากขึ้น เพราะต้องรับน้ำหนักตัวและน้ำหนักของทารกในครรภ์ที่เพิ่มมากขึ้น
• มีน้ำนมไหลออกมาเป็นระยะ ๆ เป็นสัญญาณว่าเต้านมพร้อมแล้วที่จะผลิตน้ำนมหลังคลอดแล้วค่ะ
ในสัปดาห์นี้แพทย์อาจจะมีการนัดเข้ามาตรวจอัลตราซาวนด์เพื่อวัดการเคลื่อนไหว การหายใจ กล้ามเนื้อ อวัยวะ และปริมาณน้ำคร่ำของทารกในครรภ์ว่าเป็นปกติดีหรือไม่ หรือคุณแม่และทารกในครรภ์มีความเสี่ยงใด ๆ ที่อาจนำไปสู่การคลอดก่อนกำหนดหรือไม่
ในกรณีที่มีความเสี่ยงรุนแรงต่อการตั้งครรภ์ แพทย์จะเร่งวินิจฉัยทำการป้องกันหรืออาจวินิจฉัยให้มีการทำคลอดก่อนกำหนดเพื่อความปลอดภัยของแม่และทารกในครรภ์
อายุครรภ์ 33 สัปดาห์ คุณแม่อาจพบกับอาการต่าง ๆ ที่ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องปกติของคนท้องหรือเปล่า หรือเป็นสัญญาณอันตรายไหม ซึ่งขอแนะนำว่าคุณแม่ควรจะหมั่นสังเกตอาการตนเองอยู่เสมอว่ามีอาการใด ๆ ที่ผิดแปลกไปจากเดิมหรือไม่
และหากมีอาการใด ๆ ที่สงสัยว่าอาจจะเป็นสัญญาณอันตราย หรือไม่แน่ใจว่าอาการแบบนี้ผิดปกติไหม ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยทันทีค่ะ
อาการท้องแข็งในคนท้องไตรมาสสามนั้นถือว่าเกิดขึ้นได้บ่อย ๆ เป็นเรื่องปกติค่ะ ซึ่งอาการท้องแข็งบ่อยจะปกติก็ต่อเมื่ออาการปวดจากอาการท้องแข็งนั้นเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว และสามารถทุเลาได้เอง โดยการเปลี่ยนอริยาบถ การนอนพัก หรือการกินยาแก้ปวดสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดได้
แต่...ถ้าหากมีอาการท้องแข็งบ่อย และมีอาการปวดท้องรุนแรง ปวดแต่ละครั้งใช้เวลานาน และอาการไม่ทุเลาลงแม้ว่าจะนอนพักหรือกินยาแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น อันนี้ถือว่าไม่ปกติ และควรไปพบแพทย์ทันที เพราะถ้าปล่อยไว้นาน ๆ อาจเสี่ยงที่ปากมดลูกจะเปิด และเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนดได้ค่ะ
อาการปวดท้องน้อย ถือว่าเป็นอาการปกติของแม่ท้องค่ะ แม่ท้องหลายคนมีอาการปวดท้องน้อยเป็นครั้งคราว เพราะอย่างที่บอกว่ามดลูกของคุณแม่นั้นจะมีการขยายตัวเพื่อรองรับการเจริญเติบโตของลูกน้อย
ทำให้เส้นเอ็น กล้ามเนื้อที่ยึดมดลูกมีการดึงรั้งกัน จึงทำให้คุณแม่มีอาการปวดท้องน้อย ซึ่งก็จะไม่ใช่อาการปวดที่รุนแรงค่ะ ปวดเป็นพัก ๆ ก็ดีขึ้น นั่งพัก นอนพัก หรือกินยาก็ช่วยให้ดีขึ้นได้
แต่...ถ้าหากอาการปวดนั้นมีลักษณะที่ปวดรุนแรงจนคุณแม่ทนไม่ไหว ปวดจนลุกไม่ขึ้น ปวดจนนอนไม่หลับ หรือมีอาการเลือดออกร่วมด้วย อันนี้อาจจะเป็นสัญญาณอันตรายได้ ให้รีบไปพบแพทย์ค่ะ
ท้อง 33 สัปดาห์ ปวดจิมิ เจ็บที่อวัยวะเพศ อาจมีสาเหตุมาจากเอ็นกระดูกเชิงกรานยืดออกเพื่อรองรับน้ำหนักของคุณแม่ที่เพิ่มขึ้น เมื่อเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อในช่องคลอดยืดออก จึงทำให้รู้สึกเจ็บที่อวัยวะเพศได้
ซึ่งอาการปวดมิจินี้ถือว่าพบได้โดยทั่วไปสำหรับคนท้องไตรมาสสองและไตรมาสสามค่ะ แต่ถ้าอาการปวดไม่ดีขึ้นเลย หรือปวดมากขึ้นกว่าเดิม แนะนำให้คุณแม่รีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสม
อาการปวดหน่วงที่ท้อง โดยมากมีสาเหตุมาจากการขยายตัวของมดลูก การยืดตัวของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นที่หน้าท้อง ซึ่งอาการปวดแบบนี้จะปวดเป็นพัก ๆ ไม่นานก็หาย นอนพัก กินยา หรือเปลี่ยนอริยาบถก็รู้สึกดีขึ้นค่ะ
แต่...ถ้าหากอาการปวดนั้นมีลักษณะที่ปวดรุนแรงจนคุณแม่ทนไม่ไหว ปวดจนลุกไม่ขึ้น ปวดจนนอนไม่หลับ หรือมีอาการเลือดออกร่วมด้วย อันนี้อาจจะเป็นสัญญาณอันตรายได้ ให้รีบไปพบแพทย์ค่ะ
หากมีเลือดออกทางช่องคลอดในขณะตั้งครรภ์ คุณแม่ควรไปพบแพทย์ทันทีเพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัยว่าอาการเลือดออกนี้มีสาเหตุมาจากอะไร ถ้าหากเป็นเลือดเก่าที่คั่งค้างนานแล้ว หรือเลือดจากการมีเพศสัมพันธ์ก็ถือว่าไม่ต้องกังวลอะไร
แต่ถ้าเป็นเลือดที่เกิดจากภาวะครรภ์เป็นพิษ หรือเสี่ยงต่อการแท้ง หรือมีการคลอดก่อนกำหนด กรณีที่รุนแรงเช่นนี้ แพทย์สามารถทำการรักษาได้อย่างทันท่วงทีค่ะ
คุณแม่อายุครรภ์ 33 สัปดาห์ ควรใส่ใจดูแลตนเองเพื่อรักษาสุขภาพให้แข็งแรง หมั่นกินอาหารที่มีประโยชน์ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ผ่อนคลายความเครียด งดบุหรี่ แอลกอฮอล์ และสารเสพติด
รวมถึงควรเริ่มลดกิจกรรมและการงานต่าง ๆ ที่ต้องออกแรงด้วยค่ะ การก้ม ๆ เงย ๆ บ่อย ๆ อาจส่งผลต่อสุขภาพของคุณแม่ ทำให้ปวดหลัง หรือปวดเมื่อยมากขึ้น ทั้งยังเสี่ยงต่อการพลัดตก หกล้ม ซึ่งอาจกระทบกระเทือนต่อครรภ์และทารกในครรภ์ได้
และคุณแม่ควรจะไปพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง เพื่อติดตามการตั้งครรภ์ว่าทารกในครรภ์ยังปกติไหม มีพัฒนาการตามวัยหรือเปล่า หรือมีภาวะความเสี่ยงในขณะตั้งครรภ์หรือไม่
การฝึกหายใจให้ชินถือว่ามีประโยชน์ต่อการคลอดมากค่ะ เพราะถ้าหายใจถูกจังหวะ ก็จะช่วยบรรเทาอาการปวดได้ และยังช่วยให้คุณแม่มีแรงเพียงพอที่จะเบ่งคลอดต่อไปด้วย โดยการฝึกหายใจเตรียมคลอด สามารถทำได้ 2 วิธี ดังนี้
1. การหายใจแบบลึก และช้า
คุณแม่ควรเริ่มหายใจแบบลึกและช้า ในช่วงแรกที่เริ่มเจ็บท้อง เพราะเป็นช่วงที่มดลูกยังไม่บีบรัดตัวแรงมาก คุณแม่จึงยังไม่รู้สึกทรมานนัก
วิธีการฝึก:
• เมื่อเริ่มเจ็บท้อง ให้คุณแม่สูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ และช้า ๆ นับจังหวะ 1-5 แบบช้า
ๆ จนครบ
• จากนั้นค่อย ๆ หายใจออกทางปากช้า ๆ แล้วนับจังหวะ 1-5
• เมื่อมดลูกเริ่มคลาย และรู้สึกเจ็บน้อยลง ให้คุณแม่หายใจเข้า-ออกอย่างเต็มที่ 1 ครั้ง
จากนั้นคุณแม่ค่อย ๆ หายใจตามปกติเป็นการเสร็จสิ้น
2. การหายใจแบบตื้น เร็วและเบา (แบบเป่าเทียน)
ในกรณีที่คุณแม่เจ็บครรภ์แรง และปากมดลูกเปิดมากขึ้นเรื่อย ๆ คุณแม่จะมีอาการปวดรุนแรงมาก ควรใช้การหายใจแบบตื้นและเร็ว
วิธีการฝึก:
• เมื่อมดลูกบีบตัว และคุณแม่เริ่มเจ็บท้อง ให้คุณแม่หายใจเข้า-ออก เต็มที่ 1
ครั้ง
• จากนั้นหายใจเข้าทางจมูกแบบตื้น เร็ว และเบา 4-6 ครั้ง ติดต่อกันแบบเร็ว
ๆ ให้นึกภาพว่ากำลังหายใจในเวลาเหนื่อยหอบค่ะ
• เวลาหายใจ
ให้คุณแม่หายใจออกโดยการห่อปาก และเป่าลมออกทางปากเบา ๆ 1 ครั้ง
•
ให้คุณแม่หายใจแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมดลูกเริ่มคลายตัว และอาการปวดทุเลาลง แล้วเปลี่ยนมาหายใจแบบลึกและช้า
คุณแม่ควรสังเกตร่างกายและอาการต่าง ๆ อยู่เสมอค่ะ เพื่อดูว่ามีอาการใด ๆ ที่อาจจะนำไปสู่การคลอดก่อนกำหนดหรือไม่
หากคุณแม่มีอาการต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ ก่อนอายุครรภ์ 37 สัปดาห์ ถือว่าเป็นสัญญาณของการคลอดก่อนกำหนด ให้คุณแม่รีบไปพบแพทย์หรือติดต่อเบอร์ฉุกเฉินกับโรงพยาบาลหรือหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทันทีค่ะ
• มีเลือดออกทางช่องคลอด ไม่ว่าจะมากหรือน้อย ก็ให้รีบไปพบแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณของการคลอดก่อนกำหนดได้
• มีอาการน้ำเดิน หรือสังเกตเห็นว่ามีของเหลวใส ๆ ไหลออกทางช่องคลอดมากกว่าปกติ
• มดลูกบีบตัวถี่ขึ้น มีอาการปวดท้องรุนแรง และปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยอาการไม่ทุเลาลง
• ปวดหน่วงที่อุ้งเชิงกรานร้าวไปจนถึงขา
• ปากมดลูกเริ่มเปิดมากขึ้น
• มีอาการบวมมากขึ้นเรื่อย ๆ เวลากดลงแล้วผิวหนังจะบุ๋ม ไม่คืนทรงทันที และมีความดันโลหิตขึ้นสูง นี่คือสัญญาณเสี่ยงของภาวะครรภ์เป็นพิษ ซึ่งอาจนำไปสู่การคลอดก่อนกำหนดได้
อาการเจ็บท้องหลอก และ เจ็บท้องจริงนั้น ค่อนข้างจะมีความแตกต่างกันค่ะ ซึ่งคุณแม่สามารถสังเกตได้ ดังนี้
อาการเจ็บท้องหลอก คุณแม่จะมีอาการดังนี้
• จะมีการหดตัวของมดลูกบ่อย แต่จะไม่หดตัวติด ๆ กัน หรือมีการหดตัวน้อยกว่า 4 ครั้งใน 1 ชั่วโมง
• การหดตัวแต่ละครั้งจะทำให้รู้สึกปวดท้องนานราว ๆ 10-20 วินาที และปวดที่บริเวณท้องส่วนหน้า หรือบริเวณเชิงกราน
• อาการปวดท้องสามารถหายเองได้เพียงแค่เปลี่ยนท่านั่ง ท่านอน หรือลุกขึ้นเดิน หรือกินยาแก้ปวดก็ช่วยให้อาการปวดท้องดีขึ้นได้
อาการเจ็บท้องจริง คุณแม่จะมีอาการดังนี้
• มีการหดตัวของมดลูกบ่อย แต่มีการหดตัวติด ๆ กัน หรือมีการหดตัวมากกว่า 4 ครั้งใน 1 ชั่วโมง
• การหดตัวแต่ละครั้งจะทำให้รู้สึกปวดท้องนานราว ๆ 30-70 วินาที
• มีอาการปวดตั้งแต่ช่วงหลังส่วนหน้า แล้วลามไปยังบริเวณท้องส่วนหน้า หรือบางทีก็เริ่มปวดมาตั้งแต่ท้องส่วนหน้า และลามไปยังบริเวณหลังส่วนล่าง
• อาการปวดท้องสามารถหายเองได้เพียงแค่เปลี่ยนท่านั่ง ท่านอน หรือลุกขึ้นเดิน หรือกินยาแก้ปวดก็ช่วยให้อาการปวดท้องดีขึ้นได้
• มีมูกใส ๆ หรือมูกปนเลือดไหลออกมาทางช่องคลอด และมีอาการน้ำเดินด้วย
• ปากมดลูกเริ่มเปิดมากขึ้นเรื่อย ๆ
อาการท้องแข็งบ่อยในช่วงไตรมาสที่ 3 นี้ โดยมากแล้วถือว่าเป็นเรื่องปกติค่ะ ซึ่งอาจจะมีสาเหตุมาจาก
• ทารกดิ้นแรง
• คุณแม่ทำงานหนัก
หรือออกแรงมาก
• คุณแม่อยู่ในท่าเดิมนาน ๆ เช่น เดินนาน ๆ หรือยืนนาน ๆ
• มดลูกมีการหดรัดตัวตามปกติในระหว่างตั้งครรภ์
ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะทำให้คุณแม่มีอาการปวดท้องเป็นครั้งคราว แต่จะไม่ปวดนาน แล้วก็จะหายไปเอง การเปลี่ยนท่านั่ง ท่านอน หรือลุกขึ้นเดิน หรือกินยาแก้ปวดก็ช่วยให้อาการปวดท้องดีขึ้นได้ กรณีแบบนี้ไม่อันตรายค่ะ
แต่...ถ้าหากอาการปวดท้องของคุณแม่นั้นเริ่มปวดถี่ขึ้น ปวดหลายครั้งต่อวัน และอาการปวดนั้นค่อย ๆ รุนแรงขึ้น และอาการปวดไม่ทุเลาลง แม้ว่าจะลองเปลี่ยนท่าทาง หรือกินยาแก้ปวดก็ยังไม่ดีขึ้น พร้อมกับมีอาการคล้ายปากมดลูกเปิด ให้รีบไปพบแพทย์ทันที เพราะคุณแม่อาจมีภาวะแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์ หรือเสี่ยงที่จะคลอดก่อนกำหนดได้ค่ะ
น้ำนมเหลือง หรือ Colostrum เป็นน้ำนมแรกของแม่ที่จะไหลออกมาก่อนน้ำนมส่วนอื่น ๆ โดยน้ำนมเหลืองนี้จัดว่าเป็นนมแม่ส่วนที่ดีที่สุด ซึ่งอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์หลายร้อยชนิด เช่น แลคโตเฟอร์ริน, MFGM, DHA เป็นต้น
ซึ่งสารอาหารในระยะน้ำนมเหลืองนั้น มีส่วนช่วยส่งเสริมพัฒนาการครบรอบด้านทั้งสมอง ภูมิคุ้มกัน และระบบทางเดินอาหารของทารก มากไปกว่านั้น น้ำนมเหลือง ยังถือได้ว่าว่าเป็นวัคซีนเข็มแรกของลูก เนื่องจากมีสารภูมิคุ้มกันซึ่งจะมีส่วนช่วยป้องกันการติดเชื้อและเสริมภูมิคุ้มกันของทารกให้แข็งแรง
อย่างไรก็ตาม น้ำนมเหลืองนั้นจะไหลออกมาแค่เพียง 1-3 วันแรกหลังคลอดเท่านั้น นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญเลยค่ะว่า ทำไมคุณแม่ควรรีบให้นมลูกทันทีหลังคลอด เพราะถ้าหากพ้นไปจาก 1-3 วันหลังคลอดแล้ว ทารกก็จะพลาดโอกาสที่จะได้รับคุณค่าทางสารอาหารที่ดีที่สุดช่วงนี้ไปค่ะ
ตามตารางน้ำหนักทารกในครรภ์ อายุครรภ์ 33 สัปดาห์ จะมีน้ำหนักประมาณ 1.9 - 2 กิโลกรัมค่ะ
การคลอดก่อนอายุครรภ์ 37 สัปดาห์ ถือว่าเป็นการคลอดก่อนกำหนดค่ะ ซึ่งการคลอดในระยะนี้แม้ว่าทารกจะมีโอกาสรอดชีวิตสูง แต่ก็มีความเสี่ยงอยู่มากเช่นกันค่ะ ไม่ว่าจะเป็น
• ทารกมีน้ำหนักแรกเกิดน้อยกว่าเกณฑ์
•
อวัยวะและระบบภายในร่างกายยังทำงานได้ไม่สมบูรณ์ทุกระบบ อาจเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้
• เสี่ยงที่จะเกิดการติดเชื้อสูง เพราะระบบภูมิคุ้มกันยังพัฒนาไม่สมบูรณ์
• เสี่ยงที่จะมีปัญหาการมองเห็น เนื่องจากจอประสาทตายังไม่สมบูรณ์
•
เสี่ยงที่จะมีปัญหาในระบบทางเดินหายใจ เพราะถึงแม้ว่าปอดจะพัฒนามากขึ้นแล้ว แต่ก็ยังไม่สมบูรณ์
• ระบบลำไส้ของทารกยังพัฒนาไม่สมบูรณ์จึงเสี่ยงที่จะเกิดลำไส้อักเสบ หรือลำไส้เน่าได้
• ทารกอาจเกิดมามีพัฒนาการด้านต่าง ๆ หรือบางอย่างที่ช้ากว่าเด็กทั่วไปที่คลอดตามกำหนด
ถ้าหากทารกคลอดตอนอายุครรภ์ 33 สัปดาห์จะถือว่าเป็นการคลอดก่อนกำหนดค่ะ
อย่างไรก็ตาม หากมีการคลอดเกิดขึ้นในสัปดาห์นี้จริง ๆ ก็ถือว่าทารกมีโอกาสรอดสูงค่ะ เนื่องจากมีพัฒนาการของระบบต่าง ๆ ในร่างกายได้เกือบสมบูรณ์แล้ว ซึ่งสมบูรณ์อยู่ในระดับที่ว่าถ้ามีเหตุต้องคลอดออกมาในตอนนี้ ทารกก็สามารถมีชีวิตอยู่รอดได้
แต่...จำเป็นจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เนื่องจากทารกมีน้ำหนักตัวน้อยกว่าเกณฑ์ ปอดยังทำงานได้ไม่เต็มที่ ระบบภูมิคุ้มกันยังอ่อนแอ ระบบต่าง ๆ และอวัยวะอีกหลายส่วนยังทำงานได้ไม่เต็มที่เท่ากับเด็กที่คลอดตามกำหนดค่ะ
การมีตกขาวถือเป็นเรื่องปกติของคนท้องค่ะ เพราะมีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในขณะตั้งครรภ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงใกล้คลอดก็จะมีมูกตกขาวออกมามากขึ้น เป็นสัญญาณว่าใกล้คลอด
อย่างไรก็ตาม หากตกขาวมีลักษณะเป็นก้อนเล็ก ๆ สีขาว หรือมีสีเหลือง หรือสีเทา ตกขาวมีลักษณะข้นเหนียว มีกลิ่นเหม็น และมีอาการคันร่วมด้วย อาจเป็นตกขาวทมี่เกิดจากการติดเชื้อ ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาค่ะ
คุณแม่ที่มีอาการบวมที่เท้า หรือข้อเท้า อาจสามารถรับมือด้วยวิธีต่าง ๆ ดังนี้
• เวลานอนให้นอนตะแคง และควรยกปลายเท้าให้สูงขึ้น โดยอาจจะใช้หมอนรองที่บริเวณข้อเท้าก็ได้ เพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น
• คุณแม่ควรเปลี่ยนอริยาบถบ่อย ๆ เพราะการอยู่ในท่าเดิมนาน ๆ จะทำให้เกิดแรงกดทับ และทำให้เลือดไหลเวียนได้ไม่ดี
• หลีกเลี่ยงการสวมแหวน กำไล หรือนาฬิกาที่รัดแน่นจนเกินไป เพราะจะยิ่งทำให้อาการบวมที่มือ หรือบวมที่นิ้วแย่ลง
• ไม่สวมถุงเท้าและรองเท้าที่รัดแน่น เพราะจะยิ่งทำให้อาการบวมแย่ลง
• พยายามลดอาหารที่มีโซเดียมสูง เพราะการบริโภคโซเดียมเข้าไปมาก ๆ จะทำให้มีอาการตัวบวมง่าย
อย่างไรก็ตาม หากอาการบวมของคุณแม่ไม่ดีขึ้นเลย หรือเริ่มบวมจนกระทั่งกดลงไปที่เนื้อแล้วเนื้อบุ๋ม และใช้เวลาคืนทรงช้า ให้รีบไปพบแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณของภาวะครรภ์เป็นพิษได้ค่ะ
บทความแนะนำสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์
ตั้งครรภ์ 3 สัปดาห์ กับพัฒนาการลูกน้อย เพศของลูกจะถูกกำหนดโดยโครโมโซมเพศจากอสุจิ ปกติแล้วอส...
อ่านต่อพัฒนาการของทารกในครรภ์สัปดาห์ที่ 39 • ทารกมีน้ำหนักประมาณ 3 กิโลกรัม และตัวยาวประมาณ 21 นิ...
อ่านต่อพัฒนาการของทารกในครรภ์สัปดาห์ที่ 4 ช่วงตั้งครรภ์ 4 สัปดาห์ ยังถือเป็นช่วงแรกของการตั้งครรภ์ ถุง...
อ่านต่อ