Enfa สรุปให้
- รู้จักอภิชาตบุตร อภิชาตบุตรี หรือที่เรียกกันว่าลูกผู้มีบารมีมาเกิด
จากความหมายและที่มา
- ลักษณะของอภิชาตบุตร และความต่างของบุตรทั้ง 3 แบบ คือ อภิชาตบุตร อนุชาตบุตร
อวชาตบุตร
- วิธีเลี้ยงลูกให้เป็นอภิชาตบุตรโดยไม่พึ่งดวงชะตา คุณแม่ก็ทำได้ ด้วยการฝึกฝน
เลี้ยงดู เป็นแบบอย่างที่ดี

อภิชาตบุตร เป็นคำที่มีความหมายลึกซึ้งในบริบทของสังคมไทย เชื่อมโยงทั้งวิถีชีวิต
ความประพฤติ ตลอดจนความเชื่อเรื่องดวงชะตา มีความหมายในทางที่ดี หมายถึงการชื่นชม ยกย่อง แต่คุณพ่อคุณแม่รู้หรือไม่ว่า
เราสามารถเลี้ยงดูลูกของเราให้เป็นอภิชาตบุตรอย่างแท้จริงได้ตั้งแต่แรกเกิดโดยไม่หวังพึ่งดวงชะตา ทำได้อย่างไร Enfa
จะพาไปหาคำตอบเรื่องนี้กันค่ะ
อภิชาตบุตร แปลว่า
อภิชาตบุตร มีความหมายตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน หมายถึง บุตรที่มีคุณสมบัติสูงกว่าบิดามารดา
บ้างก็เรียกว่าอติชาตบุตร
หากแปลคำว่าอภิชาตบุตรตามรากศัพท์จะแยกออกเป็นสองคำคือ “อภิ” แปลว่า
ยิ่ง, สูงส่ง, เหนือกว่า และ “ชาต” แปลว่า เกิด โดยรวมแล้ว
อภิชาตบุตร จึงหมายถึง ลูกที่เกิดมามีคุณธรรม ความสามารถ และคุณสมบัติที่เหนือกว่าพ่อแม่
หรือมีความเจริญรุ่งเรืองสูงกว่าผู้ให้กำเนิด
โดยทั่วไป คนไทยมักใช้คำว่าอภิชาตบุตรในการยกย่อง ชื่นชมลูก หรือพูดถึงลูกที่มีความดี ประพฤติดี ประสบความสำเร็จ
มีชื่อเสียงดีงามเหนือกว่าพ่อแม่ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังใช้ในการกล่าวชื่นชมเพื่อเป็นแรงบันดาลใจแก่ผู้อื่นด้วยเช่นกัน
อภิชาตบุตรผู้หญิง เรียกว่าอะไร
คำว่า อภิชาตบุตร ไม่ได้เป็นคำที่แบ่งแยกเพศชัดเจน
เราสามารถใช้คำว่าอภิชาตบุตรเพื่อหมายถึงบุตรที่ประเสริฐทั้งเพศชายและเพศหญิงได้
ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่ค่อยได้เห็นคำศัพท์เฉพาะที่ใช้เรียกอภิชาตบุตรผู้หญิงสักเท่าไรนัก
แต่เพื่อความสละสลวยทางภาษาหรือเพื่อให้เข้าใจง่ายมากขึ้น
จึงมีการใช้คำว่า อภิชาตบุตรี แทนการพูดถึงลูกสาวที่มีบารมีสูง
หรือมีคุณสมบัติสูง เช่นเดียวกับลูกชาย
เนื่องจาก “บุตรี” หมายถึงลูกสาวนั่นเอง
อภิชาตบุตร อนุชาตบุตร อวชาตบุตร คืออะไร ต่างกันอย่างไร
ตามความเชื่อทางพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงแบ่งบุตรออกเป็น 3 ประเภท คือ อติชาตบุตร อนุชาตบุตร และอวชาตบุตร
โดยแต่ละประเภทมีความหมายต่างกัน ดังนี้
1. อติชาตบุตร ได้แก่ บุตรที่ดีมีคุณธรรมสูงกว่าพ่อแม่ เกิดมาเชิดชูวงศ์สกุล
เป็นลูกที่ประเสริฐ ทำให้พ่อแม่ได้รับความสุขใจ เป็นลูกที่ใคร ๆ ก็อยากมีอยากได้
2. อนุชาตบุตร ได้แก่ บุตรที่มีคุณธรรมเสมอพ่อแม่ คล้อยตามพ่อแม่ ไม่ดี
ไม่เลวกว่าพ่อแม่ และไม่แย่ไปกว่าวงศ์สกุล ดำรงวงศ์สกุลไว้ไม่ให้เสื่อมโทรม และไม่สามารถจะให้ดีขึ้นไปกว่าเดิมได้
3. อวชาตบุตร ได้แก่ บุตรที่มีคุณธรรมต่ำกว่าพ่อแม่
สามารถฉุดดึงพ่อแม่ตกต่ำไปด้วย นำความเสื่อมเสียสู่วงศ์สกุล เช่นพ่อแม่เป็นคนดีมีศีลธรรม แต่ลูกกลับเป็นคนไม่ดี
ทำตัวเป็นปัญหาของครอบครัวและสังคม ทำให้พ่อแม่เดือดร้อนทุกข์ใจ
ความแตกต่างของบุตรทั้ง 3 ประเภทนี้ ในมุมมองสังคมไทยโบราณใช้วัดระดับของคุณธรรม ความสามารถ
และความสำเร็จของลูกเมื่อเทียบกับพ่อแม่ แต่สำหรับปัจจุบันส่วนหนึ่งนั้นมาจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ด้วยเช่นกัน
ลักษณะอภิชาตบุตร
อภิชาตบุตรมักมีลักษณะเด่นในหลายด้าน เช่น ความเฉลียวฉลาด สติปัญญาดี มีเมตตาและคุณธรรมสูงกว่าคนทั่วไป
อาจเนื่องมาจากการอบรมสั่งสอนของพ่อแม่
ทั้งยังมีความเชื่อทางดวงชะตาที่เชื่อมโยงกับอดีตชาติว่าได้มีการทำบุญสะสมความดีงามมาจากชาติก่อน ทำให้เป็นผู้มีบารมีสูง
เกิดมามีวาสนาสูงส่งด้วย
ลักษณะของอภิชาตบุตร เช่น
- เฉลียวฉลาด เรียนรู้ไว ไม่ต้องพร่ำสอนเยอะ
- มีกิริยามารยาทดี รู้ผิดชอบชั่วดี ไม่ทำให้พ่อแม่เดือดร้อนทุกข์ใจ
- มีความคิดความอ่านต่างจากบรรดาพี่น้อง หรือมีคุณธรรมสูงกว่าคนในครอบครัว
- มีความสามารถเฉพาะด้านแบบไม่ต้องสอน เช่น การสวดมนต์ มีความรู้ความเข้าใจเรื่องหลักธรรม
- เกิดมาแล้วทำให้ครอบครัวดี มีแต่ความสุขความเจริญ มีทรัพย์สินเพิ่มพูน ครอบครัวมีความสุขมากขึ้
- ไม่เรียกร้องเอาแต่ใจ หรือเมินเฉยต่อสิ่งไร้ประโยชน์
ฤกษ์อภิชาตบุตรคืออะไร
ฤกษ์อภิชาตบุตรตามตำราโหราศาสตร์ไทยและความเชื่อเรื่องฤกษ์ยามนั้น ถือเป็นช่วงเวลาที่เชื่อว่าเด็กที่เกิดมาจะมีบารมีสูง
มีความรู้ความสามารถสูง มีความเจริญรุ่งเรืองและประสบความสำเร็จในชีวิตสูง
ฤกษ์อภิชาตบุตรจึงเป็นฤกษ์มงคลที่นิยมใช้เพื่อการตั้งครรภ์และการคลอดบุตร นอกจากนี้โดยทั่วไปยังมีความเชื่อว่า
เด็กที่เกิดมาในฤกษ์มงคลจะมีลักษณะพิเศษตั้งแต่เกิด เช่น รูปร่างหน้าตาดี ฉลาดเฉลียว
มีพรสวรรค์หรือมีบุคลิกภาพโดดเด่นอีกด้วย
ปัจุบันคนจึงนิยมดูฤกษ์มงคลในการตั้งครรภ์ ฤกษ์ผ่าคลอด เพื่อหวังว่าลูกที่เกิดมาในฤกษ์มงคลหรือฤกษ์อภิชาตบุตรจะทำให้ได้บุตรที่ดีพร้อมสมใจ
เมื่อประกอบกับการตั้งชื่อมงคล และสิ่งอันเป็นมงคลอื่น ๆ ที่พ่อแม่เตรียมพร้อมให้ลูกตั้งแต่แรกเกิด
รวมถึงการเลี้ยงดูอย่างดี จึงยิ่งส่งเสริมให้ลูกเป็นอภิชาตบุตรหรือเป็นบุตรที่มีคุณสมบัติสูงกว่าพ่อแม่ได้มากขึ้น
อภิชาตบุตรคือผู้มีบารมีสูงมาเกิด จริงหรือ
ความเชื่อเรื่องอภิชาตบุตรคือผู้มีบารมีสูงมาเกิดนั้นมาจากความเชื่อเรื่องกรรมตามคติชาวพุทธ
โดยเชื่อว่ากรรมเกิดจากการกระทำ ลูกที่เป็นอภิชาตบุตรมาเกิดในชาตินี้
เกิดจากการที่ลูกในชาติก่อนเคยทำความดีหรือสะสมบุญบารมีมาก่อน จึงได้มาเกิดในชาตินี้ด้วยบารมีสูง
ดังจะเห็นได้จากบางคนเกิดมาในครอบครัวยากจนแต่กลับเป็นเด็กที่มีความสามารถสูง หรือเกิดในครอบครัวที่มีความรู้น้อย
แต่กลับเป็นผู้แตกฉานด้านภาษาหรือหลักธรรม มีความรู้ความสามารถแตกต่างจากคนในครอบครัว สูงกว่าพี่น้องหรือพ่อแม่
หรืออีกนัยหนึ่งคือ ลูกเป็นอภิชาตบุตรมาเกิดดังจะเห็นได้จากไม่มีใครสามารถทำอันตรายได้ เช่น
พ่อแม่คิดจะทำร้ายก็มีอันต้องเดือดร้อนแทน หรือเป็นผู้มีบารมีสูงเกินจนกลายเป็นเด็กเลี้ยงยาก กินยาก อยู่ยาก
เจ็บป่วยล้มตายง่ายกว่าปกติ เนื่องจากผู้เลี้ยงดูมีบารมีไม่สมกัน เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้เป็นความเชื่อที่ไม่มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์รองรับ แต่อย่างไรก็ดี การที่เด็กคนหนึ่งจะเติบโตได้อย่างดีนั้น
ต้องอาศัยการเลี้ยงดู การอบรมสั่งสอน การดูแลอย่างดีด้วยเช่นกัน ดังนั้น ไม่ว่าลูกจะเป็นอภิชาตบุตรมาเกิดจริงหรือไม่
ก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะละเลยไม่เลี้ยงดูอบรมสั่งสอนลูก
เลี้ยงลูกอย่างไรให้เป็นอภิชาตบุตรของพ่อแม่ โดยไม่หวังพึ่งดวงชะตา
นอกจากพ่อแม่จะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดแก่ลูก เช่น ปีมงคลในการตั้งครรภ์ ฤกษ์อภิชาตบุตรในการคลอดลูก เป็นต้น
การเลี้ยงดูลูกให้เป็นอภิชาตบุตรยังต้องอาศัยการอบรมสั่งสอนและการเลี้ยงดูด้วยความรักความเอาใจใส่ ดังนี้
- ปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรม สอนให้เด็กรู้จักความดี ความชั่ว มีความซื่อสัตย์สุจริต และมีความรับผิดชอบ
- ส่งเสริมการศึกษาและการเรียนรู้ โดยสนับสนุนให้เด็กใฝ่รู้ รักการอ่าน และพัฒนาทักษะต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
- ฝึกความอดทนและความพยายาม สอนให้เด็กรู้จักอดทนต่อความยากลำบาก และพยายามทำสิ่งต่าง ๆ ให้สำเร็จ
- ปลูกฝังความกตัญญูกตเวที สอนให้เด็กรู้จักบุญคุณของผู้มีพระคุณ และรู้จักตอบแทนบุญคุณ
- ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ โดยเปิดโอกาสให้เด็กได้คิด ได้ทดลอง และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ
- เป็นแบบอย่างที่ดีอย่างสม่ำเสมอ โดยพ่อแม่ควรประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีในทุกด้าน
เพื่อให้เด็กมีต้นแบบที่ดีในการดำเนินชีวิต
การเลี้ยงดูลูกให้เป็นอภิชาตบุตรไม่จำเป็นต้องพึ่งดวงชะตาหรือฤกษ์ยามเท่านั้น
แต่การดูแลด้วยความรักความเอาใจใส่จากครอบครัวร่วมกับการสนับสนุนให้เด็กมีความพยายามในการพัฒนาตนเอง
ย่อมส่งผลให้ลูกรักเป็นคนดี จิตใจดี มีความสามารถสูง ประสบความสำเร็จในชีวิต และเป็นที่รักใคร่ของผู้อื่นอย่างแน่นอน
MFGM สารอาหารในนมแม่ เพื่อ IQ ที่เหนือกว่าตั้งแต่ 5 ขวบปีแรก
การเสริมสร้างพัฒนาการทั้งด้านความคิดและอารมณ์ให้ลูกรักตั้งแต่ 5 ขวบปีแรกเป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรให้ความสำคัญ
โดยนอกจากการเสริมด้วยกิจกรรมกระตุ้นการเรียนรู้ เช่น การเล่านิทานให้ลูกฟัง ใช้ของเล่นเสริมพัฒนาการรอบด้าน
ยังสามารถเสริมด้วย MFGM สุดยอดสารอาหารในนมแม่ สารอาหารสมองชนิดเดียวที่ช่วยให้ลูกมี IQ ที่เหนือกว่าตั้งแต่ 5
ปีแรกประกอบด้วยไขมันและโปรตีนกว่า 150 ชนิด รวมทั้งสฟิงโกไมอีลิน ฟอสโฟลิปิด แกงกลิโอไซด์
บทความแนะนำสำหรับคุณแม่และลูกน้อย