Enfa สรุปให้:
เลือกอ่านตามหัวข้อ
• ท้อง 5 เดือนนับจากอะไร
• อาการคนท้อง 5 เดือน
• ร่างกายของคุณแม่เมื่อตั้งครรภ์ 5 เดือน
• อัลตราซาวนด์ท้อง 5 เดือน
• พัฒนาการทารกในครรภ์ 5 เดือน
• เช็กลิสต์สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ 5 เดือน
• ไขข้อข้องใจเรื่องการตั้งครรภ์ 5 เดือนกับ Enfa Smart Club
เมื่อตั้งท้องมาถึง 5 เดือนแล้ว คุณแม่หลาย ๆ คนก็จะเริ่มสังเกตเห็นอาการคนท้องที่เห็นชัดเจนมากขึ้น และเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายหลายอย่าง รวมถึงทารกในครรภ์เองก็เริ่มมีพัฒนาการที่เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย บทความนี้จาก Enfa มีสาระดี ๆ สำหรับคุณแม่ที่อายุครรภ์ 5 เดือนมาฝากค่ะ
ท้อง 5 เดือน คือ คุณแม่มีอายุครรภ์ได้ 5 เดือนแล้ว และมีอายุครรภ์ระหว่าง 18-21 สัปดาห์ นับเป็นการตั้งครรภ์ในไตรมาสที่ 2 โดยอายุครรภ์ของคุณแม่จะเริ่มนับตั้งแต่วันแรกที่มีประจำเดือนครั้งล่าสุด จากนั้นก็จะนับเพิ่มสัปดาห์ถัดไปเรื่อย ๆ เป็น 2 เดือน 3 เดือน เรื่อยไปจนกระทั่ง 9 เดือน ซึ่งจะเป็นช่วงไตรมาสสาม และใกล้จะมีการคลอดเกิดขึ้น
อายุครรภ์ 5 เดือน คุณแม่จะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่เห็นได้ชัดขึ้น โดยเฉพาะหน้าท้องที่เติบโตออกมาอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากมดลูกเริ่มขยายตัวเพื่อรองรับการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์มากขึ้นแล้ว มากไปกว่านั้น คนท้อง 5 เดือนยังอาจพบกับอาการดังต่อไปนี้ในขณะตั้งครรภ์ด้วย
และในอายุครรภ์ 5 เดือนนี้ คุณแม่ยังเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงที่สะดือด้วย โดยเฉพาะคุณแม่ที่สะดือจุ่นมาก่อนแล้ว เมื่อท้องขยายมากขึ้น ก็จะทำให้สะดือที่จุ่นอยู่ข้างในมีการปลิ้นหรือยื่นออกมาข้างนอกมากขึ้น หรือเห็นสะดือจุ่นชัดกว่าเดิม
คุณแม่หลาย ๆ คนก็อาจจะรู้สึกว่าเล็บแข็งแรงขึ้น ผมหนาขึ้นและยาวเร็วขึ้น ส่วนนี้ก็เป็นผลพวงมาจากฮอร์โมนในร่างกายขณะที่ตั้งครรภ์นั่นเอง แต่คุณแม่บางคนก็กลับมีปัญหาผมร่วง และผมแห้งแทน ซึ่งก็มีสาเหตุจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกายเช่นกัน
เมื่ออายุครรภ์ 5 เดือน คุณแม่อาจจะพบกับอาการท้องแข็งบ้าง ซึ่งปกติก็ถือว่าไม่ได้น่าเป็นห่วงอะไรนัก หากว่าอาการท้องแข็งนั้นอาจเป็นผลมาจากการมีเพศสัมพันธ์ขณะตั้งครรภ์ที่รุนแรง หรือเกิดจากการพลิกตัวของทารก การกลั้นปัสสาวะ หรือการรับประทานอาหารอิ่มจนเกินไป เป็นต้น
ซึ่งวิธีการรับมือกับอาการท้องแข็ง ก็สามารถทำได้ ดังนี้
อย่างไรก็ตาม หากคุณแม่ที่ท้อง 5 เดือน ท้องแข็งบ่อยมาก ซึ่งอาจเกิดจากการหดรัดตัวของมดลูก และถ้าหากเกิดขึ้นบ่อยมากเข้า อาจนำไปสู่อาการปากมดลูกเปิด ซึ่งเสี่ยงจะนำไปสู่การคลอดก่อนกำหนดได้ด้วย
อาจจะมีข้อสงสัยกันว่า ท้อง 5 เดือน ใหญ่แค่ไหน? หรืออายุครรภ์ 5 เดือน ท้องจะใหญ่มากไหมน้า?
แน่นอนค่ะว่าอายุครรภ์ 5 เดือนนี้ หน้าท้องของคุณแม่เริ่มขยายมากขึ้นแล้ว แม้จะไม่ได้ขยายใหญ่เท่ากับคนที่มีครรภ์แก่ในไตรมาส 3 แต่ก็ใหญ่พอที่จะทำให้คนรอบข้างเห็นชัดและทักขึ้นว่าไปทำอะไรมา หรือกำลังตั้งครรภ์ใช่ไหม?
อย่างไรก็ตาม นอกจากปัจจัยในเรื่องของอายุครรภ์แล้ว ขนาดของหน้าท้องตอนตั้งครรภ์ก็ยังขึ้นอยู่กับสรีระ ส่วนสูง น้ำหนัก และความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว รวมถึงอาจจะเป็นการตั้งท้องครั้งแรก ก็มีผลต่อขนาดของหน้าท้องด้วย เพราะคนท้องแรกนั้นมักจะไม่ค่อยมีขนาดท้องที่ใหญ่นัก
ดังนั้น ในช่วงเดือนที่ 5 ของการตั้งครรภ์นี้คุณแม่อาจจะมีหน้าท้องที่ขยายขึ้นเล็กน้อยหรือไม่มีขนาดหน้าท้องที่ยื่นออกเลยก็ได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติแต่อย่างใดค่ะ
คุณแม่แต่ละคนมีน้ำหนักตัวที่แตกต่างกัน นั่นทำให้น้ำหนักที่จะต้องเพิ่มขึ้นขณะตั้งครรภ์เปลี่ยนไปด้วย ซึ่งก่อนจะรู้ว่าน้ำหนักแม่ตั้งครรภ์ควรจะเพิ่มน้ำหนักขึ้นเท่าไหร่ในแต่ละไตรมาส คุณแม่จะต้องคำนวณหาค่าดัชนีมวลกาย BMI ของตัวเองเสียก่อน
เมื่อได้ค่า BMI มาแล้ว น้ำหนักของคุณแม่ในแต่ละไตรมาสจะมีการเพิ่มขึ้นที่แตกต่างกันไป แต่โดยทั่วไปแล้ว สำหรับคุณแม่ที่มีค่า BMI ปกติ จะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นในแต่ละไตรมาส ดังนี้
ในช่วงไตรมาสที่สามคุณแม่บางคนมีน้ำหนักที่ลดลง หากน้ำหนักลดลงมาไม่กี่กิโลกรัมก็อย่าตกใจ ถือเป็นเรื่องปกติ
การอัลตราซาวนด์ในช่วงอายุครรภ์ 5 เดือน แพทย์จะดูรายละเอียดในส่วนของอวัยวะต่าง ๆ เช่น กระดูก หัวใจ สมอง ไขสันหลัง ใบหน้า ไต -ขนาดตัว น้ำหนัก ปริมาณน้ำคร่ำ และหน้าท้องของทารก รวมถึงเพศของทารกก็สามารถเห็นได้ชัดเจนด้วย
มากไปกว่านั้น การอัลตราซาวนด์ในช่วงอายุครรภ์ 5 เดือน แพทย์ยังสามารถที่จะตรวจหาความผิดปกติต่าง ๆ ได้ เช่น
ในช่วงอายุครรภ์ 5 เดือนนี้ ทารกจะมีขนาดประมาณ 14-15 เซนติเมตร และน้ำหนักลูกในครรภ์ 5 เดือนจะอยู่ที่ประมาณ 283 กรัม หรือทารกขนาดประมาณเท่าผลอะโวคาโด
ทารกในครรภ์ 5 เดือน จะมีขนาดที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละสัปดาห์ ดังนี้:
อายุครรภ์ 18 สัปดาห์ มีขนาดเท่ากับอาร์ติโชค
อายุครรภ์ 19 สัปดาห์ มีขนาดเท่ากับมะม่วง
อายุครรภ์ 20 สัปดาห์ มีขนาดเท่ากับมันเทศ
อายุครรภ์ 21 สัปดาห์ มีขนาดเท่ากับกล้วยหอมลูกยาว
แน่นอนว่าอายุครรภ์ 4-5 เดือนนี้เป็นช่วงที่ทารกในครรภ์เริ่มดิ้นแล้ว แต่คุณแม่ก็อาจจะมีข้อสงสัยว่า ท้อง 5 เดือน ลูกดิ้นตรงไหนนะ?
ซึ่งหลังการปฏิสนธิ ตัวอ่อนหรือทารกจะเคลื่อนตัวไปที่ท่อนำไข่ และผ่านไปถึงมดลูกที่อยู่บริเวณอุ้งเชิงกราน ก่อนจะทำการฝังตัวอ่อนลงในโพรงมดลูก และเริ่มกระบวนการเจริญเติบโตต่อไป โดยทารกอายุครรภ์ 5 เดือนก็จะเติบโตเป็นทารกในโพรงมดลูกที่มีการขยายตัวใหญ่ขึ้นเพื่อรองรับการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์นั่นเอง
คุณแม่อาจจะสงสัยกันแน่ ๆ ว่า ท้อง 5 เดือน ลูกดินตรงไหน เราจะรู้สึกอย่างไรเมื่อลูกเริ่มดิ้นครั้งแรก โดยความรู้สึกว่าลูกน้อยดิ้นครั้งแรก (Quickening) จะเกิดขึ้นเมื่ออายุครรภ์เข้าสู่สัปดาห์ที่ 18 – 20 ทีคุณแม่สามารถรู้สึกลูกดิ้นได้ เนื่องจากมดลูกมีขนาดโตขึ้นพ้นอุ้งเชิงกรานทำให้ผนังมดลูกชิดหน้าท้องมากขึ้น และเมื่อลูกเคลื่อนไหวก็จำทำให้คุณแม่รับรู้การดิ้นไปด้วย
ความรู้สึกลูกดิ้นอาจจะมีความรู้สึกคล้ายกับมีอะไรหวิว ๆ ในท้อง บริเวณที่คุณแม่รู้สึกว่าลูกดิ้น อาจจะแตกต่างและปรับเปลี่ยนบริเวณไปเรื่อย ๆ เนื่องจากลูกน้อยภายในครรภ์เคลื่อนไหวเปลี่ยนย้ายบริเวณอยู่บ่อยครั้ง
สำหรับคุณแม่ที่ตั้งครรภ์แฝด ทารกแต่ละคนก็จะมีพัฒนาการเหมือนกับการตั้งครรภ์ลูกคนเดียวตามปกติ ทั้งน้ำหนักและขนาดตัว เพียงแต่พัฒนาการของทารกแฝดในครรภ์นั้น จะเป็นพัฒนาการแบบคูณสอง เพราะว่ามีทารกในครรภ์มากกว่า 1 คน ดังนั้น พัฒนาการของทารกในครรภ์ ก็จะเป็นพัฒนาการที่เกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน 2 คน
ในช่วงสัปดาห์ที่ 18 -21 ของการตั้งครรภ์ ร่างกายของทารกได้พัฒนามาถึงช่วงสำคัญอีกช่วงหนึ่งแล้ว เจ้าตัวน้อยจะเริ่มตอบสนองต่อเสียงจากภายนอกได้แล้ว เพราะหูชั้นในของทารกเริ่มพัฒนา และช่วงอายุครรภ์ 5 เดือนนี่แหละค่ะ จะเป็นครั้งแรกที่ลูกน้อยจะได้ยินเสียงของคุณแม่
คุณแม่อาจจะนึกไม่ถึงว่าโลกของทารกนั้นเสียงต่าง ๆ ค่อนข้างที่จะดังอึกทึกมากทีเดียว ทั้งเสียงพูดของคุณแม่ เสียงหัวใจของคุณแม่ เสียงเลือดที่หมุนเวียนอยู่ในร่างกาย และเสียงท้องร้องของคุณแม่ ฉะนั้น ถ้าทารกได้ยินเสียงอื่น ๆ ที่ไม่คาดคิดจากนอกครรภ์ ทารกก็อาจจะตอบสนองโดยการกระพริบตาและอยู่นิ่ง ๆ สักพัก และหัวใจของเขาอาจจะเต้นช้าลงด้วย
มากไปกว่านั้น ทารกในอายุครรภ์ 5 เดือน ยังมีพัฒนาการอื่น ๆ ที่หลากหลาย ดังนี้
ในช่วงสัปดาห์ที่ 18 -21 ของการตั้งครรภ์ ร่างกายของทารกได้พัฒนามาถึงช่วงสำคัญอีกช่วงหนึ่งแล้ว เจ้าตัวน้อยจะเริ่มตอบสนองต่อเสียงจากภายนอกได้แล้ว เพราะหูชั้นในของทารกเริ่มพัฒนา และช่วงอายุครรภ์ 5 เดือนนี่แหละค่ะ จะเป็นครั้งแรกที่ลูกน้อยจะได้ยินเสียงของคุณแม่
คุณแม่อาจจะนึกไม่ถึงว่าโลกของทารกนั้นเสียงต่าง ๆ ค่อนข้างที่จะดังอึกทึกมากทีเดียว ทั้งเสียงพูดของคุณแม่ เสียงหัวใจของคุณแม่ เสียงเลือดที่หมุนเวียนอยู่ในร่างกาย และเสียงท้องร้องของคุณแม่ ฉะนั้น ถ้าทารกได้ยินเสียงอื่น ๆ ที่ไม่คาดคิดจากนอกครรภ์ ทารกก็อาจจะตอบสนองโดยการกระพริบตาและอยู่นิ่ง ๆ สักพัก และหัวใจของเขาอาจจะเต้นช้าลงด้วย
หากจะถามว่า ท้อง 5 เดือนควรกินอะไร ก็แน่นอนว่าจะต้องเป็นอาหารที่มีประโยชน์และหลากหลาย ดังนี้
หรือกลุ่มอาหารที่คุณแม่ควรจะเน้นรับประทานให้เพียงพออยู่ตลอดการตั้งครรภ์ คือ
บางครั้งคุณแม่หลาย ๆ คนอาจจะมีปัญหาเรื่องของการแพ้นมวัว หรือแพ้นมจากพืชชนิดอื่น ๆ นมสำหรับแม่ตั้งครรภ์ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีที่จะช่วยเสริมสุขภาพสำหรับแม่ตั้งครรภ์ ที่สำคัญคือควรเลือกนมสำหรับคนท้องที่มี DHA และโฟเลตสูง ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญสำหรับแม่ตั้งครรภ์
ก่อนอื่นขอแสดงความยินดีกับคุณแม่ทุกท่านเลยค่ะ สำหรับการเดินทางที่ยาวนานกว่า 9 เดือนนี้ ในที่สุดคุณแม่ก็มาถึงครึ่งทางของการตั้งครรภ์แล้ว ซึ่งในอายุครรภ์ 5 เดือนนี้ คุณแม่ก็ยังคงมีหลาย ๆ สิ่งที่จะต้องคำนึงถึง ได้แก่
อาการปวดท้องในขณะตั้งครรภ์นั้น อาจเกิดจากสาเหตุโดยทั่วไป หรือเกิดจากอาการทางสุขภาพที่น่าวิตกกังวล
ดังนั้น หากมีอาการปวดท้องเกิดขึ้นขณะอายุครรภ์ 5 เดือน หรือปวดท้องนาน 1 วันแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัยและรับการรักษา
ทารกจะเริ่มดิ้นเมื่ออายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป หรือราว ๆ สัปดาห์ที่ 16-20 เป็นต้นไป คุณแม่ก็จะสามารถสัมผัสว่าลูกดิ้นได้
แต่ถ้าอายุครรภ์ได้ 5 เดือนแล้ว แต่คุณแม่ยังรู้สึกว่าลูกไม่ค่อยนดิ้น หรือดิ้นน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากทารกดิ้นต่ำกว่า 10 ครั้ง ในเวลา 2 ชั่วโมง และได้ลองนับใหม่ในวันถัดไปแล้วแต่อัตราการดิ้นของลูกยังต่ำกว่า 10 ครั้งอยู่ ให้รีบไปพบแพทย์ทันทีเพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุต่อไป
ปกติแล้วอาการเลือดออกขณะตั้งครรภ์นั้นมักสันนิษฐานว่ามีความผิดปกติขณะตั้งครรภ์เกิดขึ้น โดยอาจจะเป็นการแท้ง การท้องลม หรือมีปัญหาเกี่ยวกับมดลูกก็ได้ ดังนั้น ถ้าหากคุณแม่ที่อายุครรภ์ 5 เดือนมีเลือดออกทางช่องคลอด ควรไปพบแพทย์ทันทีเพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัยและรับการรักษา
เมื่ออายุครรภ์ 20 สัปดาห์ขึ้นไป คุณแม่ควรจะหลีกเลี่ยงการนอนหงาย เนื่องจากน้ำหนักของมดลูกอาจจะไปกดทับเส้นเลือดใหญ่ที่เรียกว่า หลอดเลือดเวนาคาวา (Vena cava) หรือท่อเลือดดำ ซึ่งการกดทับนี้จะไปขัดขวางการไหลเวียนของเลือดที่จะส่งไปหล่อเลี้ยงลูกน้อย และจะทำให้คุณแม่รู้สึกคลื่นไส้ เวียนหัว และหายใจไม่ออกด้วย
ดังนั้น คุณแม่ควรนอนด้วยท่านอนตะแคง จะช่วยให้ระบบไหลเวียนของเลือดทำงานได้ดีกว่า
คุณแม่ท้อง 5 เดือน ปวดท้องน้อย จริง ๆ แล้วเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ทั้งปัจจัยทางสุขภาพโดยทั่วไป และสาเหตุที่เกิดจากปัญหาทางสุขภาพที่รุนแรง
ดังนั้น หากมีอาการปวดท้องน้อย หรือมีอาการปวดท้องน้อยนานติดต่อกัน 1 วันขึ้นไป ควรไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาต่อไป
บทความแนะนำสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์
Enfa สรุปให้ ท้อง 6 เดือน อาการแพ้ท้องจะเริ่มหายไป และเริ่มมีอาการคนท้องแบบอื่น ๆ เข้ามาแทนที่ เ...
อ่านต่อEnfa สรุปให้ เมื่ออายุครรภ์ได้ 8 เดือน คุณแม่ส่วนมากมักจะชินกับอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตลอดการตั้...
อ่านต่อEnfa สรุปให้ อายุครรภ์ 7 เดือน จะมีอาการคนท้องที่หลากหลาย ตั้งแต่อาการปวดสะโพก อาการปวดกระดูกเช...
อ่านต่อ