นมแม่เป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับทารก เอนฟาสนับสนุนให้คุณแม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพียงอย่างเดียวอย่างน้อย 6 เดิอนไปจนถึง 2 ปี หรือนานกว่าตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) ​Enfa Smart Club พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลคุณแม่และลูกน้อย ด้วยการมอบข้อมูลโภชนาการและพัฒนาการลูกน้อยแต่ละวัย ที่เป็นประโยชน์และเชื่อถือได้ผ่านเว็บไซต์ enfababy.com

ท้อง 2 เดือนใหญ่แค่ไหน อาการคนท้อง 2 เดือนเป็นอย่างไร

Enfa สรุปให้

  • อาการคนท้อง 2 เดือนแรก จะเริ่มมีปรากฎให้เห็นมากขึ้นกว่าเดือนแรก โดยสามารถสังเกตได้หลายอาการ เช่น แพ้ท้อง เบื่ออาหาร อ่อนเพลียง่าย อารมณ์แปรปรวนง่าย คัดตึงเต้านม
  • ขนาดท้อง 2 เดือนนั้น แทบไม่มีอะไรแตกต่างไปจากเดือนแรกที่ผ่านมา และถึงแม้มดลูกจะเริ่มมีการขยายตัวเพื่อรองรับการเจริญเติบโตของตัวอ่อนแล้ว แต่มดลูกก็ยังมีขนาดที่ค่อนข้างเล็กอยู่ดี จึงทำให้พุงคนท้อง 2 เดือน ยังไม่มีการขยายใหญ่ขึ้นแต่อย่างใด
  • ทารกเมื่ออายุครรภ์ 2 เดือน เริ่มมีมือ เท้า แขน และขาน้อย ๆ แล้ว ผิวหนังเริ่มแบ่งเป็นสองชั้น และอวัยวะภายในได้ถูกสร้างขึ้นมา มีการพัฒนาระบบการย่อยอาหาร ระบบทางเดินหายใจและเส้นประสาทก็มีการสร้างขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

เลือกอ่านตามหัวข้อ

 

ในช่วงท้อง 2 เดือนนั้น คุณแม่บางคนอาจเพิ่งรู้ตัวว่าตั้งครรภ์เมื่อมีอายุครรภ์ได้ 2 เดือน ขณะที่คุณแม่อีกหลายคนอาจจะรู้ตัวตั้งแต่เดือนแรกแล้วว่ากำลังตั้งครรภ์ ซึ่งอายุครรภ์ 2 เดือนนี้ คุณแม่มักจะเริ่มสัมผัสได้ถึงอาการที่เกี่ยวกับการตั้งครรภ์มากขึ้น

 

โดยเฉพาะอาการแพ้ท้องที่จะเริ่มต้นหรือเริ่มรุนแรงขึ้นตั้งแต่ช่วงนี้เป็นต้นไป และนอกเหนือจากอาการแพ้ท้องที่จะเห็นได้ชัดขึ้นแล้ว ก็ยังมีการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ อีกมากมายที่จะเกิดขึ้นเมื่อคุณแม่มีอายุครรภ์ได้ 2 เดือน

 

บทความนี้จาก Enfa จะพาคุณแม่มารู้จักพัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงในช่วงที่ตั้งท้อง 2 เดือนกันค่ะ

 

อายุครรภ์ 2 เดือน

ท้อง 2 เดือน คือ คุณแม่มีอายุครรภ์ 2 เดือนแล้ว มีอายุครรภ์ระหว่าง 5-8 สัปดาห์ โดยอายุครรภ์ของคุณแม่จะเริ่มนับตั้งแต่วันแรกที่มีประจำเดือนครั้งล่าสุด จากนั้นก็จะนับเพิ่มสัปดาห์ถัดไปเรื่อย ๆ เป็น 2 เดือน 3 เดือน เรื่อยไปจนกระทั่ง 9 เดือน ซึ่งจะเป็นช่วงไตรมาสสาม และใกล้จะมีการคลอดเกิดขึ้น

 

อาการคนท้อง 2 เดือน

อาการคนท้อง 2 เดือนแรก สามารถสังเกตได้หลายอาการ ดังนี้

 

  1. แพ้ท้อง


    หนึ่งในอาการคนท้อง 2 เดือน ที่สามารถพบได้นั่นคือ อาการแพ้ท้อง หรือ Morning sickness เป็นอาการที่ทำให้คุณแม่วิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน มักจะมีอาการในตอนเช้า ๆ โดยอาการแพ้ท้องเกิดจากการที่ระดับฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลง

    คุณแม่อาจมีอาการแสบบริเวณลิ้นปี่จากการอาเจียน เพราะน้ำย่อยที่อาเจียนออกมาจะทำให้แสบหลอดอาหารได้ง่าย ควรดื่มน้ำกลั้วคอล้างปากทุกครั้งหลังอาเจียน

    ในช่วงนี้ถ้าคุณแม่แพ้ท้องมาก ควรนอนพักผ่อน ให้ฝานขิงอ่อนเป็นแผ่นบาง ๆ แช่ในน้ำร้อน แล้วค่อย ๆ จิบ จะช่วยให้อาการแพ้ท้องดีขึ้น

  2. อาการเบื่ออาหารในคนท้อง

    จากการที่ระดับฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนแปลงทำให้คุณแม่เบื่ออาหาร รับประทานอาหารแล้วอาเจียน ลองรับประทานอาหารที่ย่อยง่าย ไม่คาว ไม่มัน เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก ซุป น้ำเต้าหู้ เป็นต้น นอกจากนี้ควรปรับมื้ออาหารให้รับประทานน้อยลงแต่บ่อยขึ้น

    อาจจะแบ่งมื้ออาหารเป็น 5-6 มื้อต่อวัน จะช่วยให้ได้รับอาหารเพียงพอต่อความต้องการ คุณแม่บางคนอาจเบื่ออาหารที่เคยชอบ หรือบางคนอาจชอบอาหารที่ไม่เคยรับประทาน แนะนำให้คุณแม่ลองรับประทานอาหารให้หลากหลาย

    แต่ถ้ารับประทานอะไรไม่ได้เลย แนะนำให้พบแพทย์เพื่อประเมินว่าร่างกายขาดน้ำหรือสารอาหารหรือไม่ และรับการรักษาที่เหมาะสม เพราะน้ำหนักตัวของแม่มีผลต่อการเจริญเติบโตของลูกในครรภ์

  3. อ่อนเพลียง่าย

    คุณแม่จะรู้สึกอ่อนเพลียได้ง่ายมากขึ้น เพราะระดับโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งมดลูกต้องการเลือดในปริมาณเพิ่มขึ้นเพื่อไปเลี้ยงทารกในครรภ์ จึงส่งผลให้คุณแม่รู้สึกอืดอาดทำอะไรช้าลง บางท่านอาจมีอาการเวียนศีรษะ หน้ามืดได้ง่าย แนะนำให้เปลี่ยนท่าทางช้า ๆ ลุกนั่งให้ช้าลง เป็นต้น


  4. อารมณ์แปรปรวนง่าย


    เดี๋ยวยิ้ม เดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวเศร้า เป็นเรื่องปกติเพราะฮอร์โมนที่มีการเปลี่ยนแปลงไปนั่นเอง หากมีอารมณ์แปรปรวน ในทางที่ไม่ดีมากไป อาจส่งผลถึงลูกในท้องได้ คุณแม่จึงควรพักผ่อนให้เพียงพอ หากิจกรรมทำให้ผ่อนคลาย

  5. เจ็บหน้าอก คัดตึงเต้านม


    เมื่อเริ่มตั้งครรภ์ ฮอร์โมนในร่างกายก็จะค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงและผกผัน โดยเฉพาะฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนและเอสโตรเจนที่จะค่อย ๆ เพิ่มระดับสูงมากขึ้น ส่งผลให้คุณแม่รู้สึกเจ็บหรือคัดตึงเต้านม เต้านมขยายโตขึ้น ต่อมผลิตน้ำนมขยายตัวมากขึ้น ลานนมจะขยายกว้างขึ้นและมีสีคล้ำขึ้น


  6. ปวดท้องน้อยเนื่องจากมดลูกขยายตัว


    ขนาดของมดลูกเริ่มขยายตัวเป็นสองเท่า มดลูกที่โตขึ้นอาจจะทำให้มีอาการหน่วง ๆ ถ่วง ๆ บริเวณท้องน้อย คุณแม่อาจเจ็บบริเวณท้องน้อยได้ง่าย เนื่องจากเมื่อมดลูกโตขึ้น ปีกมดลูกก็จะถูกดึงรั้งตึง คุณแม่อาจรู้สึกเสียวแปลบ ๆ เวลาเคลื่อนไหวเร็ว ๆ จึงควรทำอะไรช้าลงกว่าปกติ

 

ท้อง 2 เดือนใหญ่แค่ไหน

คุณแม่อย่าเพิ่งไปคาดหวังว่า โอ้! ฉันตั้งท้อง 2 เดือนแล้ว ท้องฉันจะต้องใหญ่ขึ้นแน่ ๆ เพราะจริง ๆ แล้วทารกในครรภ์ยังมีน้ำหนักประมาณ 15 กรัม และมีขนาดแค่เพียง 1 - 2 ซม. เท่านั้น

 

ดังนั้น ท้องของคนที่อายุครรภ์ได้ 2 เดือน จึงแทบไม่มีอะไรแตกต่างไปจากเดือนที่ผ่านมา และถึงแม้มดลูกจะเริ่มมีการขยายตัวเพื่อรองรับการเจริญเติบโตของตัวอ่อนแล้ว แต่มดลูกก็ยังมีขนาดที่ค่อนข้างเล็กอยู่ดี จึงทำให้พุงคนท้อง 2 เดือน ยังไม่มีการขยายใหญ่ขึ้นแต่อย่างใด

 

ท้อง 2 เดือน

อัลตราซาวนด์ท้อง 2 เดือน

การอัลตราซาวนด์มักจะทำกันเมื่ออายุครรภ์ประมาณ 12-18 สัปดาห์เป็นต้นไป เพราะจะสามารถเริ่มมองเห็นเพศ หรือเห็นรูปร่างของทารกชัดมากขึ้น เนื่องจากทารกมีขนาดตัวที่ใหญ่ขึ้นแล้ว

 

แต่การอัลตราซาวนด์ตอนอายุครรภ์ 2 เดือนนั้น ปกติแล้วจะไม่ค่อยนิยมทำกัน เพราะถึงอัลตราซาวนด์ไปก็แทบจะไม่เห็นอะไร เนื่องจากทารกมีขนาดเล็กเพียง 1 - 2 ซม. เท่านั้น

 

แม้ว่าจะไปอัลตราซาวนด์ก็อาจจะยังมองไม่เห็นรูปร่างของทารกอยู่ดี แต่อายุครรภ์ตั้งแต่ 6 ขึ้นไป การอัลตราซาวนด์จะสามารถเห็นการเต้นของหัวใจได้

 

อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาสแรกนี้ แพทย์อาจจะแนะนำให้ทำการอัลตร้าซาวด์ก่อนกำหนดเพื่อตรวจหาความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ตั้งแต่เนิ่น ๆ เช่น การท้องนอกมดลูก แต่การอัลตราซาวนด์นี้จะเป็นการอัลตราซาวนด์ผ่านช่องคลอด ไม่ใช่การอัลตราซาวนด์ที่หน้าท้อง


ท้อง 2 เดือน

พัฒนาการทารกในครรภ์ 2 เดือน

ในช่วง อายุครรภ์ 2 เดือน หรือ 5-8 สัปดาห์ แม้ลูกน้อยในครรภ์จะมีขนาดแค่ 1 - 2 ซม. และมีน้ำหนักประมาณ 15 กรัม โดยขนาดของทารกอายุครรภ์ 2 เดือน ทารกจะมีขนาดเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละสัปดาห์ ดังนี้

 

ท้อง 2 เดือน

มีขนาดเท่าเมล็ดซิตรัสในสัปดาห์ที่ 5

ท้อง 2 เดือน

มีขนาดเท่ากับถั่วลันเตาในสัปดาห์ที่ 6

ท้อง 2 เดือน

มีขนาดเท่ากับบลูเบอร์รีในสัปดาห์ที่ 7

ท้อง 2 เดือน

มีขนาดเท่ากับราสเบอร์รีในสัปดาห์ที่ 8

 

แม้ว่าจะยังมีขนาดเล็กอยู่ แต่เขากำลังมีพัฒนาการที่น่าตื่นเต้นทีเดียว เขาเริ่มมีมือ เท้า แขน และขาน้อย ๆ แล้ว ผิวหนังเริ่มแบ่งเป็นสองชั้น และอวัยวะภายในได้ถูกสร้างขึ้นมา มีการพัฒนาระบบการย่อยอาหาร ระบบทางเดินหายใจและเส้นประสาทก็มีการสร้างขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

โดยระบบการหายใจในช่วงสัปดาห์ที่ 9 ทารกจะเริ่มมีการเคลื่อนไหวโดยใช้อวัยวะต่าง ๆ เช่น มือ เท้า และมีการตอบสนองจากการกระตุ้นของเราจนถึงปลายสัปดาห์ที่ 12 จะสามารถได้ยินเสียงหัวใจของทารกได้จากเครื่องฟังเสียงหัวใจ (Doptone)

 

ท้อง 2 เดือน

 

พัฒนาการทางสมองของทารกในครรภ์ 2 เดือน

ช่วงที่ลูกน้อยอายุครรภ์ 2 เดือน คือช่วงที่สำคัญของพัฒนาการระบบประสาทและสมองของลูกน้อย ในช่วงนี้สมอง ไขสันหลัง กระดูกสันหลัง และระบบประสาทของทารกจะเริ่มพัฒนา เช่นเดียวกับระบบไหลเวียนโลหิต

 

ในช่วงปลายสัปดาห์ที่ 8 ลูกน้อยจะสร้างเซลล์ประสาท (Neuron) นับล้าน ๆ เซลล์ เพื่อเชื่อมต่อ และสื่อสารกันระหว่างอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย จนทำให้ลูกน้อยของเราสามารถขยับตัว เคลื่อนไหวได้ แม้ว่ากว่าคุณแม่จะรู้สึกถึงการขยับของลูกน้อยในท้องต้องรอถึงอายุครรภ์ประมาณ 16 - 18 สัปดาห์ แต่แท้จริงแล้วลูกน้อยค่อย ๆ มีพัฒนาการมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่ช่วง 2 เดือนของการตั้งครรภ์

 

ดังนั้น เซลล์ประสาทเหล่านี้คือส่วนประกอบสำคัญของสมอง ทุก ๆ ความรู้สึก ความคิด การหายใจ พอลูกขยับได้มากขึ้นจนคุณแม่รู้สึกได้ จะช่วยทำให้คุณแม่อารมณ์ดีขี้น เพราะได้รับสัมผัสกับลูกโดยตรง เพิ่มสายสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูก

 

มากไปกว่านั้น คุณแม่ตั้งครรภ์ 2 เดือน ควรรับประทานอาหารที่ดี ออกกำลังกายเบา ๆ และ ไม่เครียด เพราะสุขภาพกายและใจที่ดีของคุณแม่จะส่งผลต่อ พัฒนาการทารกในครรภ์ เป็นอย่างมาก สิ่งที่คุณแม่ควรใส่ใจก็คือการได้รับสารอาหารที่เพียงพอ เพราะอาหารไม่ได้สำคัญเฉพาะกับ พัฒนาการของทารกในครรภ์ เท่านั้น

 

หากยังส่งผลต่อสุขภาพและช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้คุณแม่เองด้วยโภชนาการที่ดีหมายถึงการที่คุณแม่ได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วนและเหมาะสม คือได้รับทั้งโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน เกลือแร่ วิตามิน และยังช่วยส่งเสริมการทำงานของจุลินทรีย์ชนิดดีในลำไส้ของคุณแม่ และสิ่งที่คุณแม่ไม่ควรมองข้ามก็คือสารอาหารอย่างเช่น กรดโฟลิก และวิตามินบี 12 ที่มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของคุณแม่

 

อาหารบํารุงครรภ์ 2 เดือน

ลูกน้อยในครรภ์ 2 เดือน อยู่ในช่วงที่ต้องการสารอาหารสำหรับการเสริมสร้างการเจริญเติบโตและพัฒนาการ คุณแม่จึงควรวางแผนมื้ออาหารสําหรับคนท้อง 2 เดือน เพื่อให้มั่นใจว่าลูกน้อยจะได้รับสารอาหารครบถ้วนในปริมาณที่เหมาะสม อีกทั้งคุณแม่ ยังต้องให้ความสำคัญกับการได้รับแร่ธาตุเหล่านี้

 

  • DHA ซึ่งเป็นกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ จำเป็นต้องได้รับจากการกินอาหาร โดย DHA มีสำคัญต่อกระบวนการสร้างเซลล์ต่าง ๆ ของทารกในครรภ์ เช่น สมอง ผิวหนัง ดวงตา ทั้งยังช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์บางอย่าง เช่น การคลอดก่อนกำหนด หรือโรคซึมเศร้าหลังคลอด 

  • โฟเลต ซึ่งเป็นกลุ่มวิตามินบีที่สำคัญมาก หากคุณแม่ได้รับโฟเลตไม่เพียงพอ ก็อาจส่งผลให้ลูกน้อยเกิดปัญหาเกี่ยวกับระบบประสาทได้ เพราะโฟเลตทำหน้าที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของทารกในครรภ์ ทั้งยังมีส่วนสำคัญในการสร้างเม็ดเลือดแดง คุณแม่ตั้งครรภ์ในเดือนแรกจำเป็นต้องได้รับโฟเลตเพื่อช่วยในการสร้างหลอดประสาท และสมองที่สมบูรณ์ของทารก 

  • ธาตุเหล็ก จำเป็นต่อการสร้างเม็ดเลือดทั้งของคุณแม่และของลูกน้อย และช่วยลดโอกาสในการคลอดก่อนกำหนด ภาวะทารกน้ำหนักตัวน้อยแต่กำเนิดด้วย คุณแม่ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับปริมาณธาตุเหล็กที่เหมาะสมที่ควรได้รับในแต่ละวัน
  • แคลเซียม ทารกในครรภ์ต้องการแคลเซียมจากร่างกายของคุณแม่เพื่อใช้ในการสร้างมวลกระดูกและฟัน คุณแม่ตั้งครรภ์จึงควรควรได้รับแคลเซียมประมาณ 1,000 มิลลิกรัม/วัน ซึ่งหนึ่งในแหล่งแคลเซียมที่ดีก็คืออาหารจำพวกนม 

  • ไอโอดีน คุณแม่ตั้งครรภ์ ควรได้รับไอโอดีนอย่างเพียงพอตั้งแต่ไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ เพื่อลดความเสี่ยงของภาวะระดับฮอร์โมนไทรอยด์ในร่างกายผิดปกติ คุณแม่ตั้งครรภ์จึงควรควรได้รับไอโอดีนจำนวน 250 ไมโครกรัม/วัน

Enfamama TAP No. 1

 

ไขข้อข้องใจเรื่องการตั้งครรภ์ 2 เดือนกับ Enfa Smart Club

ท้อง 2 เดือน ท้องแข็งไหม

ปกติแล้วอาการท้องแข็งมักจะพบได้ในช่วงไตรมาส 3 หากมีอาการท้องแข็งตั้งแต่เดือนที่ 2 ของการตั้งครรภ์ ให้รีบไปพบแพทย์ทันที เพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัย

 

อายุครรภ์ 2 เดือนลูกมีหัวใจหรือยัง

อายุครรภ์ 2 เดือน เริ่มมีการสร้างหัวใจขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้หลังสัปดาห์ที่ 6 เป็นต้นไป หากไปอัลตร้าซาวด์ก็จะสามารถเห็นหัวใจของทารกเต้น

 

ตั้งครรภ์ 2 เดือน ท้องแข็งเป็นก้อน อันตรายไหม

ปกติแล้วอาการท้องแข็งมักจะพบได้ในช่วงไตรมาส 3 หากมีอาการท้องแข็งตั้งแต่เดือนที่ 2 ของการตั้งครรภ์ ให้รีบไปพบแพทย์ทันที เพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัย

 

ท้อง 2 เดือน ท้องกระตุก เกิดจากอะไร

อาการท้องกระตุกโดยมากมักไม่พบในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ หากพบว่ามีอาการท้องกระตุก ให้รีบไปพบแพทย์ทันที เพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัย

 

ท้อง 2 เดือนคือกี่สัปดาห์

อายุครรภ์ 2 เดือน จะเท่ากับอายุครรภ์ 5-8 สัปดาห์

 

ท้อง 2 เดือน มีเพศสัมพันธ์ได้ไหม

คนท้องสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ตลอดการตั้งครรภ์ แต่ในช่วงไตรมาสท้าย ๆ อาจจะต้องลดท่ามีเซ็กซ์ที่ผาดโผนลง เพื่อลดการกระแทกที่หน้าท้องของคุณแม่ สำหรับกรณีครรภ์เสี่ยงสูง เช่น ครรภ์แฝด หรือครรภ์ที่มีภาวะแทรกซ้อน ควรงดมีเพศสัมพันธ์และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

 

ท้อง 2 เดือน ปวดท้องน้อย อันตรายไหม

อาการปวดท้องน้อยขณะตั้งครรภ์สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ทั้งสาเหตุที่ไม่น่ากังวล และสาเหตุที่รุนแรง ดังนั้น หากมีอาการปวดท้องน้อยตั้งแต่ 1 วันขึ้นไป และอาการไม่ดีขึ้น ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัย

 

ท้อง 2 เดือนลูกดิ้นหรือยัง

อายุครรภ์ 2 เดือน ทารกยังมีขนาดที่เล็กมาก จึงยังไม่มีการดิ้นของทารกเกิดขึ้นในช่วงไตรมาสแรกนี้ แต่เมื่อมีอายุครรภ์ตั้งแต่ 16-25 สัปดาห์ขึ้นไป ซึ่งก็จะอยู่ราว ๆ เดือนที่ 4-6 ของการตั้งครรภ์

 

ท้อง 2 เดือน มีเลือดออกสีน้ำตาล อันตรายไหม

อาการเลือดออกขณะตั้งครรภ์สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ทั้งสาเหตุที่ไม่น่ากังวล และสาเหตุที่รุนแรง หากมีอาการเลือดออกตั้งแต่ 1 วันขึ้นไป และเลือดยังไม่หยุดไหล ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัย

 

ท้อง 2 เดือน น้ำหนักขึ้นเยอะ อันตรายไหม

จริงๆ แล้วคุณแม่จะต้องเพิ่มน้ำหนักตั้งครรภ์ขึ้นในทุก ๆ ไตรมาสอยู่แล้ว แต่ในไตรมาสแรกนี้ทารกยังตัวเล็กอยู่ คุณแม่จึงยังไม่จำเป็นที่จะต้องเพิ่มน้ำหนักให้มากเกินกว่า 1-2 กิโลกรัม แต่ถ้ามีน้ำหนักเพิ่มขึ้นมากกว่านั้น ให้รีบไปพบแพทย์ด่วน เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย

 

ท้อง 2 เดือน มีเพศสัมพันธ์แล้วมีเลือดออก อันตรายไหม

หากมีเพศสัมพันธ์แล้วมีเลือดออก ก็อาจจะเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น มีเพศสัมพันธ์ที่รุนแรงเกินไป อาจเกิดการบาดเจ็บหรือฉีกขาดของอวัยวะเพศ อย่างไรก็ตาม อาการเลือดออกขณะตั้งครรภ์สามารถเกิดได้จากสาเหตุที่ไม่น่ากังวล และสาเหตุที่รุนแรง ดังนั้น หากมีอาการเลือดออกตั้งแต่ 1 วันขึ้นไป และเลือดยังไม่หยุดไหล ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัย

 

ท้อง 2 เดือน ปวดท้องจี๊ดๆ เกิดจากอะไร

อาการปวดท้องตอนอายุครรภ์ 2 เดือน สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น เกิดจากการที่มดลูกเริ่มมีการขยายตัว จึงส่งผลให้คุณแม่อาจจะรู้สึกปวดท้องขึ้นมา หรือเป็นเพราะฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนแปลง และมีผลต่ออวัยวะเชิงกราน ก็อาจส่งผลให้ปวดท้องได้เช่นกัน

 

อย่างไรก็ตาม อาการปวดท้องขณะตั้งครรภ์สามารถเกิดได้จากสาเหตุที่ไม่น่ากังวล และสาเหตุที่รุนแรง ดังนั้น หากมีอาการปวดท้องตั้งแต่ 1 วันขึ้นไป และอาการยังไม่ดีขึ้น ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัย

 

ท้อง 2 เดือน ลูกอยู่ตรงไหน

หลังจากที่ตัวอ่อนทำการฝังตัวลงในโพรงมดลูกในเดือนแรกนั้น ทารกก็จะค่อย ๆ เจริญเติบโตอยู่ที่มดลูกไปจนกว่าจะคลอด ซึ่งขนาดของมดลูกก็จะค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้นรองรับขนาดของทารกในเจริญเติบโตขึ้นในทุก ๆ เดือน




บทความแนะนำสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์

 

 


Shopee TH Lazada TH Join Enfamama