โรงพยาบาลฝากครรภ์ฟรีได้ไหม ฝากครรภ์ฟรีใช้สิทธิ์อะไรได้บ้าง

Enfa สรุปให้

• การฝากครรภ์สามารถทำได้ทั้งโรงพยาบาลของรัฐ โรงพยาบาลเอกชน หรือคลินิก ขอเพียงเป็นสถานพยาบาลที่ใกล้บ้าน ไม่ต้องเดินทางไกล เพื่อให้คุณแม่สามารถเดินทางไปพบแพทย์ได้สะดวกตลอดการตั้งครรภ์
• ฝากครรภ์โรงพยาบาลรัฐ ส่วนใหญ่คุณแม่จะสามารถใช้สิทธิ์ฝากครรภ์ฟรีได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย หากโรงพยาบาลนั้น ๆ เข้าร่วมนโยบายฝากครรภ์ฟรีกับสปสช.
• เมื่อไปฝากครรภ์ คุณแม่จะต้องเตรียมข้อมูลประวัติการรักษาตัว การแพ้ยา ยารักษาโรคที่ใช้อยู่ บันทึกการมีประจำเดือน เพื่อใช้สำหรับตรวจวินิจฉัยความเสี่ยงต่อสุขภาพและคำนวณอายุครรภ์ที่ถูกต้อง

การฝากครรภ์ สามารถทำได้ทั้งโรงพยาบาลของรัฐฯ โรงพยาบาลเอกชน หรือคลินิกใกล้บ้านที่รับฝากครรภ์ แต่ดีที่สุดคือคุณแม่ควรเลือกฝากครรภ์กับสถานพยาบาลที่ใกล้ที่สุดและเดินทางสะดวกได้ เพราะจะต้องเดินทางไปพบแพทย์อย่างต่อเนื่องตลอดการตั้งครรภ์ สำหรับคุณแม่ที่ต้องการจะฝากครรภ์โรงพยาบาลรัฐ จะเลือกโรงพยาบาลไหนดี จะใช้สิทธิ์โรงพยาบาลฝากครรภ์ฟรีได้ไหม บทความนี้มีคำตอบค่ะ

ฝากครรภ์โรงพยาบาลรัฐฟรี คืออะไร?

ฝากครรภ์โรงพยาบาลรัฐฟรี คือ โรงพยาบาลในสังกัดของรัฐบาลที่มีนโยบายสำหรับหญิงตั้งครรภ์ให้สามารถฝากครรภ์ได้ฟรี โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

ในปัจจุบันสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ สปสช. ร่วมกับกรมอนามัยและกรมการแพทย์ มีนโยบายฝากครรภ์ฟรีทุกที่ สามารถเข้ารับบริการฝากครรภ์ที่ใดก็ได้ในพื้นที่ที่สะดวก และเป็นโรงพยาบาลที่อยู่ในสังกัดของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

โรงพยาบาลรัฐฝากครรภ์ฟรี คุณแม่ต้องใช้สิทธิอย่างไร

โครงการฝากครรภ์ฟรีทุกที่ ไม่จำกัดจำนวนครั้ง โดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ สปสช. ไม่ว่าจะเป็นคุณแม่ที่มีสิทธิบัตรทอง หรือสิทธิประกันสังคม ก็สามารถใช้สิทธิ์ฝากครรภ์ฟรี ฝากครรภ์คุณภาพ กับกองทุนบัตรทองได้เลย

โรงพยาบาลฝากครรภ์ฟรีใกล้ฉัน ต้องตรวจสอบอย่างไร

คุณแม่ตั้งครรภ์ ที่ไม่ว่าจะมีสิทธิบัตรทอง หรือประกันสังคม สามารถใช้สิทธิ์ฝากครรภ์ฟรีของสปสช.ได้ ซึ่งสามารถตรวจสอบสถานพยาบาลในสังกัดของสปสช. ผ่านเว็บไซต์ https://www.nhso.go.th/page/hospital หรือโทร.สอบถามโดยตรงกับสถานพยาบาลที่สนใจว่าเป็นโรงพยาบาลในสังกัดสปสช.ที่เข้าร่วมโครงการฝากครรภ์ฟรีด้วยหรือไม่ ก่อนไปใช้บริการ

โรงพยาบาลฝากครรภ์ฟรี ที่เงื่อนไขต่างจากการฝากครรภ์โรงพยาบาลรัฐทั่วไปหรือไม่

โรงพยาบาลฝากครรภ์ฟรี กับการฝากครรภ์โรงพยาบาลรัฐทั่วไป ในเรื่องของการดูแลตรวจสุขภาพของแม่และทารกในครรภ์นั้น แน่นอนว่าไม่มีความแตกต่างค่ะ คุณแม่จะได้รับการดูแลครรภ์อย่างมีคุณภาพเท่าเทียมกัน

ส่วนในแง่ของค่าใช้จ่าย การฝากครรภ์กับโรงพยาบาลที่มีนโยบายฝากครรภ์ฟรี คุณแม่จะไม่เสียค่าใช้จ่ายในการฝากครรภ์ แต่การฝากครรภ์ในโรงพยาบาลรัฐทั่วไปที่ไม่ได้เข้าร่วมนโยบายฝากครรภ์ คุณแม่ก็จะมีค่าใช้จ่ายในการฝากครรภ์ หรือจำเป็นจะต้องสำรองค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ไปก่อน แล้วจึงไปเบิกเงินค่าฝากครรภ์ตามสิทธิ์สวัสดิการที่คุณแม่มีอยู่

ฝากท้องโรงพยาบาลรัฐ คุณแม่ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง

การฝากท้องโรงพยาบาลรัฐ มีสิ่งที่จะต้องเตรียมให้พร้อม ดังนี้

• เลือกโรงพยาบาลรัฐบาลที่วางใจในคุณภาพการให้บริการ เดินทางสะดวก ไม่ไกลเกินไป เพราะคุณแม่จะต้องเดินทางมาพบแพทย์บ่อย ๆ ตลอดการตั้งครรภ์ จึงขอแนะนำให้เลือกโรงพยาบาลที่เดินทางได้สะดวกจะดีที่สุด
• เช็กสิทธิสวัสดิการต่าง ๆ ของคุณแม่ว่าสามารถใช้สิทธิ์กับโรงพยาบาลนั้น ๆ ได้หรือไม่
• เตรียมเอกสารที่จำเป็นต้องใช้สำหรับการทำประวัติฝากครรภ์ เช่น บัตรประชาชนของคุณพ่อและคุณแม่
• เตรียมเงินให้พร้อม ในกรณีที่อาจต้องมีการสำรองจ่าย รวมถึงค่าเดินทาง ค่าอาหาร และจิปาถะอื่น ๆ
• เตรียมประวัติการรักษาตัวของคุณแม่ที่ผ่านมา การแพ้ยา โรคประจำตัว ยารักษาโรคที่ใช้อยู่ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการวินิจฉัยของแพทย์ถึงความเสี่ยงต่อสุขภาพต่าง ๆ  อาจเกิดขึ้นในขณะตั้งครรภ์
• เตรียมข้อมูลการมีประจำเดือนครั้งสุดท้าย เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการคำนวณอายุครรภ์ที่ถูกต้อง หากคุณแม่ให้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อน แพทย์อาจคำนวณอายุครรภ์ผิดพลาด อาจทำให้ลำดับพัฒนาการการเจริญเติบโตของทารก ไม่ตรงกับความเป็นจริงอย่างที่่้ควรจะเป็น เนื่องจากนับอายุครรภ์ผิดค่ะ

อนาคตที่ดีที่สุดของลูกน้อย เริ่มต้นด้วยโภชนาการผ่านคุณแม่

เด็กจะเติบโตมาแข็งแรง มีสุขภาพดี ฉลาด มีไอคิวที่สมวัยได้ พื้นฐานต้องเริ่มมาจากอาหารการกินของคุณแม่ค่ะ

โดยกลุ่มสารอาหารสำคัญที่คุณแม่จะต้องได้รับอย่างเพียงพอตลอดการตั้งครรภ์ ได้แก่

• ดีเอชเอ ช่วยพัฒนาทางสมอง ดวงตา และระบบประสาท นอกจากนี้ยังอาจช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์บางอย่าง  
• โปรตีน ดีต่อการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อและอวัยวะต่าง ๆ ของทารกในครรภ์ อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างน้ำนมให้กับคุณแม่
• ธาตุเหล็ก ช่วยป้องกันภาวะโลหิตจางระหว่างตั้งครรภ์ ซึ่งถือเป็นสาเหตุอันดับต้น ๆ ของการคลอดทารกที่มีน้ำหนักแรกเกิดน้อยกว่าเกณฑ์ปกติ
• กรดโฟลิก หรือโฟเลต มีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาของระบบประสาทและสมอง หากคุณแม่ได้รับโฟเลตไม่เพียงพอ ก็อาจส่งผลให้ลูกน้อยเกิดปัญหาเกี่ยวกับระบบประสาทได้  
• แคลเซียม มีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง ป้องกันภาวะกระดูกพรุนทั้งแม่และทารก
• ไอโอดีน ป้องกันภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ในร่างกายผิดปกติ และนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ เช่น โรคไทรอยด์ระหว่างตั้งครรภ์
• โคลีน มีส่วนสำคัญในการบำรุงระบบประสาทและสมอง ช่วยพัฒนาสมองของทารกในครรภ์ ลดความเสี่ยงของภาวะความบกพร่องที่ระบบท่อประสาทของทารกในครรภ์
• โอเมก้า 3 ช่วยเสริมสร้างและดูแลสุขภาพหัวใจ ระบบภูมิคุ้มกัน สมอง และดวงตา ลดความเสี่ยงของภาวะซึมเศร้าหลังคลอด และลดความเสี่ยงของการคลอดก่อนกำหนดและน้ำหนักแรกเกิดต่ำอีกด้วย

จะเห็นได้ว่าโภชนาการสำหรับแม่ตั้งครรภ์นั้นเป็นเรื่องที่ไม่ควรละเลย เพราะถ้าหากได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ อาจเพิ่มความเสี่ยงที่อันตรายต่อทารกได้ตั้งแต่ยังอยู่ในท้องแม่

อย่างไรก็ตาม หากคุณแม่ใส่ใจเรื่องอาหารการกินเป็นประจำทุกมื้อ ก็จะเป็นการปูพื้นฐานการมีสุขภาพดี มีสมองที่ดี ส่งเสริมให้ลูกพร้อมที่จะเติบโตอย่างสมวัย และก้าวไกลไปสู่อนาคตที่ดีอย่างมีคุณภาพได้ค่ะ