Enfa สรุปให้
เลือกอ่านตามหัวข้อ
กินยาคุมแล้วท้อง เป็นเหตุการณ์ที่อาจสร้างความตกใจให้สาวๆ หลายคน เพราะเรามักเข้าใจกันว่าการคุมกำเนิดด้วยการกินยาคุมเป็นวิธีหนึ่งที่ให้ประสิทธิภาพสูง แต่ในความเป็นจริง ยังมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้ค่ะ อาจเพราะใช้ยาไม่ถูกต้อง ลืมกินยาคุมตามเวลา หรือมีการอาเจียนที่ทำให้ร่างกายดูดซึมยาไม่ทัน และอีกหลายเหตุผลที่นำไปสู่การตั้งครรภ์แบบไม่คาดฝัน
วันนี้จึงอยากชวนมาไขข้อสงสัยถึงสาเหตุการเกิดเหตุการณ์ “กินยาคุมแล้วท้อง” รวมถึง “กินยาคุมฉุกเฉินแล้วท้อง” และ “กินยาคุมมีโอกาสท้องกี่เปอร์เซ็นต์” นอกจากนี้ ยังรวมถึงวิธีดูแลตัวเองและลูกในกรณีที่พบว่าท้องขณะกินยาคุม และยังไขข้อข้องใจว่าหาก “กินยาคุมแล้วปวดท้อง” เป็นอาการปกติหรืออาจสัญญาณของปัญหาอื่นในร่างกายหรือเปล่า
หลายคนสงสัยว่ากินยาคุมแต่ท้อง เป็นไปได้จริงหรือ เพราะในความเข้าใจทั่วไป ต่างมั่นใจว่าการกินยาคุมกำเนิดเป็นวิธีป้องกันที่ได้ผลสูงระดับหนึ่ง ทว่าความเป็นจริงยังมีหลากหลายปัจจัยที่ทำให้ประสิทธิภาพของยาคุมลดลง จนนำไปสู่การตั้งครรภ์ได้ ดังนี้
อีกประเด็นสำคัญ คือ การคุมกำเนิดฉุกเฉิน หรือที่เรียกว่า “ยาคุมฉุกเฉิน” ประกอบไปด้วยยาที่เป็นฮอร์โมนขนาดสูง ประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ 75-85% เมื่อรับประทานภายใน 3-5 วัน หลังมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งออกแบบมาใช้ในสถานการณ์เร่งด่วน เช่น ถุงยางแตก หรือลืมกินยาคุมปกติ แต่ก็ยังเกิดเหตุกินยาคุมฉุกเฉินแล้วท้องได้เหมือนกัน ซึ่งอาจเกิดจากกินยาช้าเกินไป ยาคุมฉุกเฉินมีปฏิกิริยากับยารักษาโรคอื่น ๆ หรือมีการตกไข่เกิดขึ้นก่อนกินยา เป็นต้น
ความเข้าใจผิดเรื่องยาคุมฉุกเฉิน
ยาคุมฉุกเฉินไม่ใช่ยาทำแท้ง แต่เป็นการให้ฮอร์โมนขนาดสูงเพื่อยับยั้งหรือชะลอการตกไข่ และทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกไม่เหมาะสมต่อการฝังตัวของตัวอ่อน หากตัวอ่อนฝังตัวแล้ว หรือผ่านช่วงเวลาที่ไข่ตกไปแล้ว ยาคุมฉุกเฉินจะไม่ได้ผล ถึงตรงนี้ อาจแบ่งสาเหตุของการกินยาคุมฉุกเฉินแล้วท้อง นั่นเป็นเพราะ
อีกประเด็นสำคัญเกี่ยวกับยาคุมฉุกเฉินก็คือ ภาวะเลือดออกหลังกินยาคุมฉุกเฉินแล้วท้อง ซึ่งโดยปกติเมื่อกินยาคุมฉุกเฉิน อาจมีเลือดออกกระปริดกระปรอยภายใน 5-10 วัน เป็นผลจากฮอร์โมน ซึ่งไม่ใช่ประจำเดือนจริง บางคนเข้าใจว่าเลือดออกคือ “มั่นใจไม่ท้อง” แต่กลับพบว่าตั้งครรภ์ได้ เพราะเลือดออกนี้ไม่ใช่ตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพ 100%
หลายคนอาจเคยได้ยินว่าการกินยาคุมกำเนิดประเภทเม็ดมีประสิทธิภาพกว่า 99% หากใช้อย่างถูกต้อง แต่ในชีวิตจริงมีปัจจัยที่ทำให้ประสิทธิภาพลดลง ทำให้เกิดอาการกินยาคุมแต่ท้องได้ อันที่จริงแล้ว ยาคุมกำเนิดมีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดราว 93% เมื่อรับประทานเป็นประจำทุกวัน แต่ถ้าหากลืมรับประทานยา ประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์จะลดลง สำหรับยาคุมฉุกเฉิน ประสิทธิภาพการคุมกำเนิดเพียง 60-80% ไม่แนะนำให้ใช้เป็นประจำหรือใช้เป็นวิธีคุมกำเนิดหลัก
อย่างไรก็ตาม ยาคุมกำเนิดไม่สามารถช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ หากต้องการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ควรใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วยทุกครั้ง
ยาคุมกำเนิดนั้นแบ่งออกได้เป็นฮอร์โมน 2 ประเภท
การที่สาวๆ กินยาคุมแล้วท้องโดยไม่รู้ตัวนั้น การตั้งครรภ์ยังคงดำเนินต่อไปได้ตามปกติค่ะ ไม่มีผลทำให้เกิดการแท้งขึ้น และไม่ได้ส่งผลทำให้ทารกในครรภ์มีความผิดปกติหรือพิการแต่อย่างใด
แต่เมื่อทราบว่าตั้งครรภ์แล้วควรหยุดทานยาคุมกำเนิดค่ะ เพราะการกินยาคุมกำเนิดในขณะที่ตั้งครรภ์จะมีความเสี่ยงที่อาจทำให้น้ำหนักทารกน้อย หรืออาจคลอดก่อนกำหนดได้ ส่วนความเข้าใจที่ว่า กินยาคุมฉุกเฉินตอนท้อง จะทำให้ทารกในครรภ์พิการหรือไม่ ยังไม่พบรายงานทางการแพทย์ว่ามีข้อมูลที่สนับสนุนในเรื่องดังกล่าว
ส่วนในกรณีที่ใช้ยาคุมฉุกเฉินติดต่อกันเป็นระยะเวลานานอาจเป็นอันตราย เพราะทำให้เกิดความผิดปกติที่รังไข่ เยื่อบุโพรงมดลูก รวมทั้งเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูกถึง 2% การใช้ยาคุมฉุกเฉินจึงควรใช้เมื่อจำเป็นเท่านั้น และไม่แนะนำให้รับประทานเกิน 4 เม็ด หรือ 2 กล่องต่อเดือน
ดังนั้น เมื่อตรวจพบการตั้งครรภ์ ในขณะที่กินยาคุมกำเนิดไม่ว่าจะเป็นชนิดแบบธรรมดาหรือแบบฉุกเฉิน ควรรีบหยุดการกินยาคุมกำเนิดทันที และรีบพบแพทย์เพื่อทำการตรวจสุขภาพครรภ์
บางครั้งการใช้ยาคุมอาจมาพร้อมผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้หรือปวดท้องได้บ้าง คุณแม่บางคนอาจเข้าใจผิดว่า เป็นอาการตั้งครรภ์ หรืออาการคนท้องขณะกินยาคุม การกินยาคุมแล้วปวดท้องปวดหลัง อาจเกิดขึ้นได้ โดยปกติอาการจะค่อยๆ ดีขึ้น เมื่อทานต่อเนื่องไปซักระยะ
ดังนั้น หากอาการปวดเป็นไม่มาก ก็ให้สังเกตอาการและทานยาคุมต่อไปก่อน แต่หากอาการปวดเป็นมาก ก็อาจพิจารณาหยุดทานยาคุม และสังเกตว่าอาการปวดท้องหายไปหรือไม่ หากไม่หาย อาการปวดท้องน้อย ก็อาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ
ผลข้างเคียงของฮอร์โมนในยาคุม
ยาคุมกำเนิดบางชนิดโดยเฉพาะชนิดฮอร์โมนรวม (เอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรน) อาจทำให้ปวดท้องน้อยหรือปวดหลังเล็กน้อย เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน อาจมีอาการคลื่นไส้ เต้านมคัดตึง รู้สึกเหมือนตอนใกล้มีประจำเดือน
ไม่ใช่ทุกคนที่ปวด
บางคนใช้ยาคุมหลายปีไม่เคยปวดท้องเลย ก็เป็นไปได้ เพราะร่างกายตอบสนองต่อฮอร์โมนต่างกัน หากปวดท้องรุนแรงผิดปกติหรือปวดหลังมาก ควรตรวจหาสาเหตุอื่น เช่น ลำไส้อักเสบเฉียบพลัน, กระเพาะปัสสาวะอักเสบ, มดลูกอักเสบ, กล้ามเนื้อหน้าท้องอักเสบ, ไส้ติ่งอักเสบ
หากอาการปวดท้องน้อยเป็นมาก ควรหยุดทานยาคุมไปก่อน และสังเกตอาการว่าดีขึ้นหรือไม่ หากดีขึ้น อาจเปลี่ยนยี่ห้อยาคุมให้เป็นชนิดที่มีฮอร์โมนต่ำลง เพื่อลดผลข้างเคียง แต่ถ้าอาการปวดไม่หายไป ควรพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุต่อไป
วิธีบรรเทาอาการปวดท้องจากยาคุม
ระวังสับสนกับอาการตั้งครรภ์
อาการปวดท้องเล็กน้อยหรือปวดหลังสามารถเกิดได้ทั้งจากผลข้างเคียงของยาคุม และอาการคนท้องขณะกินยาคุม หากสงสัยว่าตั้งครรภ์ ควรตรวจด้วยชุดทดสอบการตั้งครรภ์หรือปรึกษาแพทย์ ถ้ามีอาการอื่นร่วม เช่น คลื่นไส้หนักมาก ประจำเดือนขาด หรือเต้านมคัดกว่าเดิม ก็ควรเช็กให้แน่ใจ
หลายคู่รักหรือคุณแม่ที่กินยาคุมแต่ท้อง จะมีสถานการณ์ที่หลากหลายแตกต่างกันไป บางคนอาจพบว่าประจำเดือนขาดแล้วถึงรู้ตัวว่าท้อง หรือบางคนยังสับสนกับอาการปวดท้องน้อย คิดว่าเป็นผลข้างเคียงจากยาคุม สุดท้ายตรวจพบว่าตั้งครรภ์เรียบร้อยแล้ว คุณแม่ส่วนใหญ่จะตกใจหรือกังวล เพราะคิดว่ายาคุมป้องกันได้ ทำไมยังท้อง แต่ต้องไม่ลืมว่าการกินยาคุมไม่รับประกัน 100% บางคนอาจมีภาระหน้าที่หรือแผนชีวิต ทำให้ไม่พร้อมตั้งครรภ์ อาจเกิดความเครียด ควรปรึกษาคุณหมอและครอบครัว
เมื่อรู้ว่าท้องควรจะหยุดยาคุมทันที แม้ตามข้อมูลทางการแพทย์ ระบุว่าไม่พบความเชื่อมโยงชัดเจนว่าก่อความพิการต่อทารกก็ตาม สิ่งที่ต้องคำนึงต่อมาก็คือ สุขภาพของเด็กในครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์ ทำอัลตราซาวด์ ตรวจเลือด และอื่นๆ เพื่อยืนยันว่าทารกสมบูรณ์ดี หากมีปัจจัยเสี่ยง เช่น อายุเยอะ หรือมีโรคประจำตัว อาจต้องดูแลพิเศษในช่วงตั้งครรภ์ ที่สำคัญ แม้จะเป็นการตั้งครรภ์ไม่คาดคิด แต่คุณแม่ก็ควรปรับโภชนาการ เช่น เพิ่มโฟลิก ธาตุเหล็ก แคลเซียม ตามคำแนะนำ งดพฤติกรรมเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ หรือกินยากลุ่มเสี่ยง
การตั้งครรภ์โดยไม่คาดคิดอาจเกิดขึ้นกับใครก็ได้ สิ่งสำคัญเมื่อรู้ตัวว่าตั้งท้องก็คือ สติ เพื่อนำไปสู่การพิจารณาถึงปัจจัยแวดล้อมเพื่อหาวิธีจัดการที่เหมาะสมต่อไป หรือการเตรียมตัวเป็นคุณแม่มือใหม่หลังจากนี้
การได้รับโภชนาการที่ดี มีคุณภาพ ซึ่งไม่เพียงสำคัญกับพัฒนาการลูกในครรภ์ แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพ และช่วยสร้างเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้คุณแม่เองด้วย
โภชนาการที่ดีหมายถึง การที่คุณแม่ได้รับสารอาหารอย่างสมดุล คือได้รับทั้งสารอาหารหลัก (โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน) และสารอาหารรอง (เกลือแร่ และวิตามิน) ซึ่งช่วยส่งเสริมการทำงานของจุลินทรีย์ชนิดดีในลำไส้ของคุณแม่
นอกจากนี้ คุณแม่ตั้งครรภ์ควรเสริมสารอาหารอย่างกรดโฟลิก และวิตามินบี 12 ที่มีบทบาทสำคัญในระบบภูมิคุ้มกัน รวมไปถึงการออกกำลังกาย การดูแลสุขภาพใจให้ดี เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณแม่ และเจ้าตัวน้อย
Enfa สรุปให้ รกคืออวัยวะที่สำคัญมากในการตั้งครรภ์ซึ่งทำหน้าที่รองรับการเจริญเติบโตของทารกตลอด 40...
อ่านต่อEnfa สรุปให้ รกพันคอเด็ก คือ ภาวะที่สายสะดือพันรอบคอทารกในครรภ์ ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากการที่ทารกเคลื...
อ่านต่อEnfa สรุปให้ แพ้ท้องหนักมาก กินอะไรไม่ได้เลย อาจส่งผลให้คุณแม่มีน้ำหนักตัวที่ลดลงอย่างรวดเร็ว มี...
อ่านต่อ