Enfa สรุปให้
เด็กหลายคนอาจเริ่มพูดได้ตั้งแต่อายุ 1.5 ปีขึ้นไป แต่เด็กอีกหลายคนก็มาเริ่มพูดเอาตอนอายุได้ 2-3 ปี แต่ถ้าหากอายุเกิน 3 ปีแล้วยังไม่ยอมพูด ลูกอาจมีความผิดปกติ
การหมั่นพูดคุย และการมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กตั้งแต่อายุยังน้อย จะช่วยกระตุ้นพัฒนาการพูดและการสื่อสารของเด็กได้เป็นอย่างดี
เด็กที่ไม่ยอมพูด อาจมีสาเหตุมาจากเด็กเป็นออทิสติก หูหนวก มีความผิดปกติทางพันธุกรรม ความผิดปกติทางด้านร่างกาย ซึ่งควรได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์เพื่อหาแนวทางบำบัดและรักษา
เลือกอ่านตามหัวข้อ
อีกหนึ่งปัญหาในเด็กที่ทำให้คุณพ่อคุณแม่กังวลใจมากเป็นพิเศษคือเมื่อลูกอายุถึงวัยที่ควรจะต้องเริ่มพูด แต่ลูกกลับไม่พูด หรือไม่ยอมพูด ปัญหานี้อาจจะเป็นเรื่องปกติสำหรับเด็กบางคน หรือเป็นภาวะบกพร่องสำหรับเด็กบางคนก็ได้
ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ควรจะต้องใช้วิธีกระตุ้นให้ลูกพูด หรือหมั่นสังเกตสัญญาณความผิดปกติเรื่องการพูดของทารกไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพราะถ้าหากปล่อยไว้และไม่มีการกระตุ้น อาจจะส่งผลเสียต่อการสื่อสารของเด็กได้ ทั้ง ๆ ที่สามารถจะแก้ไขได้ตั้งแต่ยังเล็กค่ะ
จริง ๆ แล้ว เด็กจะเริ่มมีการพูดหรือสื่อสารตั้งแต่ตอนที่อายุยังไม่ครบปีค่ะ เพียงแต่ในช่วงแรก ๆ นั้นจะยังไม่พูดไม่เป็นภาษา หรือพูดได้เป็นคำ ๆ ที่ฟังไม่ชัดเท่าไหร่นัก แต่จะเริ่มพูดเป็นคำที่ซับซ้อนและประโยคที่ชัดเจนขึ้นเมื่ออายุได้ 2-3 ปีเป็นต้นไปค่ะ โดยพัฒนาการด้านภาษาและการสื่อสารของลูกน้อย จะเป็นดังนี้
• อายุ 1-4 เดือน ทารกทำได้เพียงส่งเสียงอ้อแอ้ไม่เป็นภาษา
• อายุ 5-6 เดือน ทารกยังทำได้แค่ส่งเสียงอ้อแอ้อยู่ แต่สามารถที่จะตอบสนองต่อเสียงเรียก หรือหันหน้าเมื่อถูกเรียกชื่อ
• อายุ 9-12 เดือน เด็กวัยนี้เริ่มที่จะพูดออกมาเป็นคำพยางค์เดียวได้
• อายุ 1-1.5 ปี เด็กวัยนี้จะเริ่มมีการโต้ตอบกับผู้สนทนา เริ่มพูดคำได้หลากหลายและมความหมายได้มากขึ้น
• อายุ 1.5-2 ปี เด็กวัยนี้สามารถพูดได้ประมาณ 50-80 คำ เริ่มมีการรวมคำเข้าด้วยกัน และสามารถที่จะเข้าใจคำสั่งที่ยากขึ้นได้
• อายุ 2-3 ปี เด็กวัยนี้สามารถพูดเป็นประโยคได้ สามารถคุยตอบโต้เป็นประโยคได้ และสามารถที่จะพูดคุยและสื่อสารกับผู้อื่นได้มากขึ้น
คุณพ่อคุณแม่ควรเริ่มสังเกตสัญญาณต่าง ๆ ซึ่งบ่งบอกถึงพัฒนาการด้านการพูดและการสื่อสารของลูก ดังนี้
• อายุ 3-4 เดือน ทารกเริ่มมีการหัวเราะ และส่งเสียงในลักษณะสูงและต่ำได้
• อายุ 6-9 เดือน ทารกตอบสนองเวลาเรียกชื่อ หรือหันหน้าไปตามเสียงต่าง ๆ
• อายุ 9-10 เดือน เด็กวัยนี้สามารถพูดคำพยางค์เดียวซ้ำ ๆ ได้ เช่น บ๊าย ๆ หม่ำ ๆ อ้ำ ๆ
• อายุ 1 ปี เด็กวัยนี้เริ่มพูดคำศัพท์ได้มากขึ้น ปละใช้ภาษากายประกอบ เช่น เริ่มมีการชี้นิ้ว เริ่มทำมือเป็นสัญญาณการขอ
• อายุ 2 ปี เด็กวัยนี้สามารถพูดคำที่มีพยางค์มากขึ้นได้ เช่น กินข้าว อาบน้ำ ไปไหน
• อายุ 3 ปี เด็กวัยนี้สามารถพูดเป็นประโยคที่มีประธาน กิริยา กรรม ได้ เช่น หนูกินข้าว
แม้ว่าเด็กจะเริ่มพูดได้เองตามพัฒนาการโดยธรรมชาติ แต่การกระตุ้นพัฒนาการก็ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยให้ทารกสามารถพูดได้เร็วขึ้น หรือมีพัฒนาการด้านการพูดที่ตรงตามวัย โดยคุณพ่อคุณแม่สามารถสอนลูกพูด และกระตุ้นให้ลูกพูดได้ ดังนี้
• ทำความเข้าใจระหว่างกัน เพื่อที่จะตกลงกันว่าเราจะช่วยกันกระตุ้นให้ลูกพูดนะ เราจะแบ่งหน้าที่กัน แบ่งเวลากัน เพื่อให้ทุกคนเข้าใจไปในแนวทางอันหนึ่งอันเดียวกัน
• พยายามพูดกับลูกบ่อย ๆ แม้ว่าลูกจะยังไม่เริ่มพูดก็ตาม พยายามส่งเสียงเรียก พยายามพูดคุยเป็นคำ ๆ โดยใช้คำที่สั้น ๆ 1-2 พยางค์
• พยายามให้ลูกได้มีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างมากขึ้น ผ่านการเล่นกับคนในครอบครัว กับเด็กในวัยเดียวกัน เพราะการเล่นนี่แหละค่ะที่จะส่งผลต่ออารมณ์ สังคม และการสื่อสารของเด็กได้ดี
• พยายามให้เด็กได้เคลื่อนไหวร่างกายบ่อย ๆ ได้กระโดด ได้วิ่งเล่น เป็นการฝึกพัฒนาการด้านร่างกาย ซึ่งการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายก็มีผลต่อการพูด การสื่อสารได้เช่นกัน
• ฝึกอ่านนิทาน อ่านหนังสือ หรือร้องเพลงให้เด็กฟังก่อนนอนทุกวัน เพื่อเพิ่มทักษะด้านการปฏิสัมพันธ์กับลูก กระตุ้นการได้ยิน การรับฟัง ตลอดจนทักษะด้านภาษาและการสื่อสารด้วย
• หลีกเลี่ยงการเลี้ยงลูกด้วยสมาร์ทโฟน หรือทีวีก่อนวัยอันควร เพราะจะทำให้เด็กขาดการปฏิสัมพันธ์และการสื่อสารกับผู้อื่น
• หากครอบครัวมีพี่เลี้ยงในการช่วยเลี้ยงดูลูก อาจจะแนะนำให้พี่เลี้ยงคอยพูดคุยกับลูกเพื่อเป็นการกระตุ้นพัฒนาการด้านการพูดได้อีกเช่นกัน
• พยายามป้อนคำศัพท์ต่าง ๆ ให้กับลูกเสมอและควรจะป้อนคำศัพท์ให้ตรงกับสถานการณ์ด้วย เช่น เวลากินข้าวก็พูดคำว่า หม่ำ ๆ อ้ำ ๆ เวลาอาบน้ำก็อาจจะพูดคำว่า ซู่ซ่า ๆ เวลาเดินก็อาจจะจับมือเด็กแล้วพูดว่า เดิน ๆ หรือวิ่ง ๆ หรือถ้าหากลูกชอบให้อุ้ม ให้ยกตัว ก็สามารถพูดคำว่า บิน ๆ ลอย ๆ ซึ่งเด็กอาจจะเริ่มเลียนแบบเสียง เลียนแบบคำออกมา
หากลูกมีพัฒนาการด้านการพูดที่ไม่เป็นไปตามวัย แต่เริ่มมีสัญญาณความผิดปกติดังต่อไปนี้ อาจเป็นสัญญาณว่าลูกน้อยอาจจะมีพัฒนาการด้านการพูดและการสื่อสารที่บกพร่อง
• อายุ 6-10 เดือน แต่ทารกยังไม่ยอมส่งเสียง และไม่มีการตอบสนองต่อเสียงที่ได้ยิน ไม่หันเวลาถูกเรียกชื่อ ไม่มีท่าทีเลียนแบบเสียงหรือท่าทางใด ๆ
• อายุ 15 เดือน แต่เด็กยังไม่ยอมหันเวลาถูกเรียกชื่อ ไม่เข้าใจคำสั่งง่าย ๆ ไม่มีการส่งเสียหรือพูดคำแรก รวมถึงไม่แสดงออกทางภาษากายใด ๆ ด้วย
• อายุ 1-2 ปี แต่ยังไม่เริ่มที่จะแสดงออกถึงการสื่อสาร ไม่ส่งเสียง ไม่พูด ไม่เข้าใจคำถาม ไม่เข้าใจคำสั่ง หรือถ้าหากมีการพูด ก็อาจจะพูดไปเรื่อย พูดไม่หยุด เวลาพูดจะรู้สึกได้ว่ากำลังคุยกันคนละเรื่อง
• อายุ 3 ปี แต่ยังไม่พูด ไม่ส่งเสียง ไม่เข้าใจคำถาม ไม่เข้าใจคำสั่ง ไม่สามารถบอกได้ว่าต้องการหรือไม่ต้องการอะไร หรือถ้าหากพูดได้ ก็จะพูดออกมาด้วยเนื้อหายาว ๆ แต่ไม่ใช่ภาษาของเด็กในช่วงวัยเดียวกัน
คุณพ่อคุณแม่ควรสังเกตดูพัฒนาการด้านการสื่อสารของลูกอยู่เสมอ และเมื่อเริ่มจับสังเกตได้ว่าลูกน่าจะมีความเสี่ยงที่จะมีพัฒนาการด้านการพูดช้า ให้รีบพาลูกไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัยดูว่า ลูกแค่เริ่มพูดช้า หรือมีความผิดปกติด้านการได้ยิน
ขึ้นอยู่กับว่าสาเหตุที่ลูกพูดช้านั้นเกิดจากอะไรค่ะ เพราะการที่ลูกพูดช้า หรือไม่ยอมพูดเลยเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งถ้าหากเป็นเรื่องของพัฒนาการที่ช้า แต่สามารกลับมาพูดได้ตามปกติเมื่อเริ่มโตขึ้น หรือเมื่อได้รับการบำบัด ส่วนนี้ก็ไม่มีอะไรที่ต้องกังวล เพราะสุดท้ายลูกก็จะกลับมาพูดได้ตามปกติ
แต่ถ้าหากเกิดจากลูกเป็นออทิสติก หูหนวก หรือเกิดจากความผิดปกติทางด้านสมอง ด้านร่างกาย หรือพันธุกรรม กรณีเหล่านี้ทั้งคุณพ่อ คุณแม่ และสมาชิกในครอบครัวจะต้องทำความเข้าใจไปในทิศทางเดียวกันว่าลูกมีความผิดปกติอย่างไร และจากนี้จะต้องดูแลลูกในทิศทางใด เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน และไม่แสดงอาการใด ๆ ที่ทำให้เด็กรู้สึกว่ากำลังถูกเลือกปฏิบัติจากคนในครอบครัว
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือการพาเด็กไปพบแพทย์ตั้งแต่เนิ่น ๆ หลังจากเริ่มรู้สึกได้ถึงสัญญาณความผิดปกติ เพื่อจะได้รับการตรวจวินิจฉัยและรับการบำบัดรักษาตั้งแต่อายุยังน้อย ซึ่งหากไม่ได้มาจากความผิดปกติหรือความบกพร่องที่เกินควบคุม เด็กสามารถที่จะกลับมาพูดเป็นปกติได้
หรือในกรณีที่การผ่าตัดเป็นทางออกที่ดีกว่า เด็กก็มีโอกาสที่จะฟื้นฟูพัฒนาการด้านการพูดและการได้ยินที่ดีขึ้นได้ค่ะ
สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่อยากจะฝึกลูกให้เป็นเด็กสองภาษาตั้งแต่อายุยังน้อย สามารถฝึกได้ ดังนี้
ควรทำการตกลงกันในครอบครัวก่อนว่าจะลี้ยงลูกสองภาษา แล้วจะสอนลูกโดยใช้ภาษาใดเป็นพื้นฐาน ภาษาที่ 2 ที่จะใช้ คือภาษาอะไร และใครจะเป็นคนพูดภาษาที่ 2 กับลูก
จากนั้นจะต้องมีการแบ่งกันว่าเวลาอยู่กับคนนี้จะต้องพูดแต่ภาษีนี้เท่านั้น เลาอยู่กับคนนี้ให้พูดภาษานี้ตลอดเวลา เพื่อให้ลูกคุ้นชินกับภาษาและสำเนียงมากขึ้น
สำหรับเด็กเล็กเปิดหนังหรือการ์ตูนให้ลูกฟัง ไม่จำเป็นต้องให้ดู ฟังอย่างเดียวเพื่อให้ได้สำเนียงที่ถูกต้อง หนังสือนิทาน ซีดีเพลง หนัง หรือ โปสเตอร์ภาษา สิ่งเหล่านี้ต่างเป็นตัวช่วยหรือเครื่องมือการสอนที่ล้วนมีประโยชน์ต่อการเรียนรู้ภาษาที่ 2 ของลูก
อาจเริ่มต้นจากคำง่ายๆ ใกล้ตัวที่พบในชีวิตประจำวัน เช่น ข้าวของเครื่องใช้ หรือชื่ออาหาร หรือกิจวัตรประจำวันอย่างนั่ง ยืน กิน นอน ไป มา อาบน้ำ แต่งตัว ห้ามแปลเป็นไทยเด็ดขาด สิ่งเหล่านี้เมื่อพูดทุกวัน ลูกจำได้แน่นอน พูดแบบนี้ไปเรื่อย ๆ แล้วค่อย ๆ เพิ่มเป็นประโยค เมื่อลูกโตขึ้น เรียกได้ว่าเป็นการฝึกภาษาทั้งคุณพ่อคุณแม่และลูกไปพร้อมๆ กัน ที่สำคัญคือต้องออกเสียงคำให้ถูกต้อง
การฝึกลูกเป็นเด็กสองภาษาไม่จำเป็นต้องเคร่งเครียด ทำทุกกิจกรรมให้สนุก กินข้าว เล่านิทาน เล่นเกมก็ฝึกพูดภาษาที่ 2 ได้ หรืออาจจะออกไปเปลี่ยนบรรยากาศข้างนอก เช่น สวนสัตว์ สวนสนุก ก็ชี้บรรยากาศรอบๆ ให้ลูกดูเเล้วพูดเป็นภาษาที่ 2 เป็นต้น
การสอนภาษาที่ 2 ให้ลูกนั้น คนสอนต้องใช้เวลาและความเข้าใจ เพราะเด็กๆ ทุกคนมีพัฒนาการที่แตกต่าง และมีความสามารถและความถนัดไม่เหมือนกัน ฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงต้องใช้ความอดทนรอให้ลูกเรียนรู้ภาษาตามเวลาของเขา คอยพูดคุย สนับสนุน และชมเชย เมื่อเขาสามารถทำอะไรได้สำเร็จ
การจะกระตุ้นให้ลูกมีทักษะด้านภาษาให้ได้ผลมากที่สุด คือการพูดคุย การโต้ตอบต่าง ๆ เพราะเป็นการสื่อสารแบบสองทาง เด็กจะสามารถเรียนรู้และพัฒนาทักษะด้านภาษาได้ไวกว่าการสื่อสารทางเดียวนั่นเอง
หากคุณพ่อคุณแม่ได้ลองกระตุ้นพัฒนาการพูดของลูกมาโดยตลอด และลูกอายุเกิน 3 ปีแล้ว แต่ก็ยังไม่ยอมพูด ถือว่ามีความเสี่ยงที่เด็กอาจจะมีพัฒนาการด้านการพูดที่ผิดปกติ ควรไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัยว่าเด็กไม่ยอมพูดเพราะเหตุใด เกิดจากความผิดปกติด้านใด และจะบำบัดหรือรักษาใดด้วยวิธีใดบ้าง
ช้าสุดที่เด็กจะเริ่มพูดได้ก็คืออายุ 2-3 ปี หากเกินกว่านี้แล้วลูกยังไม่ยอมพูด ควรพาลูกไปพบแพทย์์เพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัยว่าเด็กไม่ยอมพูดเพราะเหตุใด เกิดจากความผิดปกติด้านใด และจะบำบัดหรือรักษาด้วยวิธีใดได้บ้าง
ยังไม่ถือว่าผิดปกติเสียทีเดียวค่ะ โดยเด็กอาจจะพูดตอนอายุครบ 3 ปีก็ได้ แต่ถ้าหากลูกอายุเกิน 3 ปีแล้ว แต่ก็ยังไม่ยอมพูด ถือว่ามีความเสี่ยงที่เด็กอาจจะมีพัฒนาการด้านการพูดที่ผิดปกติ ควรไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัยว่าเด็กไม่ยอมพูดเพราะเหตุใด เกิดจากความผิดปกติด้านใด และจะบำบัดหรือรักษาใดด้วยวิธีใดบ้าง
สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่กังวลว่าลูกมีสัญญาณของการพูดช้า และต้องการที่จะกระตุ้นการพูดของเด็ก สามารถพาลูกไปเข้าคลินิกกระตุ้นการพูดได้ทั้งของภาครัฐและเอกชนที่สนใจ อาทิ
Enfa สรุปให้ พัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กที่ดี จะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจให้ลูกน้อย สา...
อ่านต่อEnfa สรุปให้ ลูกพัฒนาการช้าควรทําอย่างไร ต้องไม่กังวลเกินกว่าเหตุ เพราะเป็นเรื่...
อ่านต่อEnfa สรุปให้ ทารกชอบทําเสียงในลําคอ ซึ่งเป็นเสียงที่ไม่สามารถพูดออกมาเป็นคำพูดได้ เช่น เสียง...
อ่านต่อ