Enfa สรุปให้
เลือกอ่านตามหัวข้อ
คุณแม่และคุณพ่อมือใหม่หลายคนคงเคยตกใจเมื่อได้ยินเสียงหายใจครืดคราดของลูกน้อย โดยเฉพาะในช่วงแรกเกิดหรือไม่กี่เดือนหลังคลอด บางครั้งอาจเข้าใจผิดคิดว่าลูกเป็นหวัด มีเสมหะ หรือเกิดจากหลอดลมตีบตัน
แต่ความจริงแล้วอาการเหล่านี้อาจเกี่ยวข้องกับ laryngomalacia หรือ ภาวะอ่อนตัวของกล่องเสียงในทารกแรกเกิด ซึ่งบางคนเอาจรู้จักในชื่ออาการอ่อนตัวของเนื้อเยื่อบริเวณกล่องเสียง จนส่งผลให้การหายใจมีเสียงผิดปกติ
หลายครอบครัวกังวลว่าภาวะนี้อันตรายไหม รักษาอย่างไร ลูกจะหายขาดได้หรือเปล่า เรามาลองทำความรู้จักว่า laryngomalacia คืออะไร ความผิดปกตินี้คุณพ่อคุณแม่ต้อกังวลแค่ไหนควรดูแลลูกน้อยอย่างไรไม่ให้เกิดปัญหาตามมา
จริงๆ แล้ว laryngomalacia คือ ความผิดปกติที่พบบ่อยที่สุดในกลุ่มความผิดปกติแต่กำเนิดของทางเดินหายใจส่วนบนของทารก และส่วนใหญ่สามารถหายเองได้เมื่อเด็กโตขึ้น คำว่า Laryngomalacia มาจากภาษากรีกและละตินผสมกัน “Laryngo” หมายถึงกล่องเสียง (Larynx) และ “malacia” หมายถึงอ่อนตัว ภาวะนี้เรียกเป็นชื่อไทยว่า กล่องเสียงอ่อนตัว, โรคหลอดลมอ่อนตัว, โรคหลอดลมหย่อน, ภาวะกล่องเสียงอ่อนยวบ, ท่อลมอ่อน, และกระดูกอ่อนของหลอดลมยังไม่แข็งแรง
โดยปกติแล้วกระดูกอ่อนจะช่วยเสริมความแข็งแรงของท่อหลอดลม ทำให้ไม่แฟบแบนขณะมีลมหายใจผ่านเข้าออก แต่จะคงความเป็นท่ออยู่ได้ แต่ทารกบางคนอาจมีการพัฒนาส่วนกระดูกอ่อนช้ากว่าปกติ ดังนั้นเวลาหายใจเข้าออก ท่อหลอดลมจะแฟบทำให้เกิดเสียงครืดคราดในลำคอได้
สาเหตุของ Laryngomalacia ปัจจุบัน ยังไม่สามารถหาสาเหตุที่แน่นอนว่าทำไมทารกบางคนถึงมีภาวะนี้ แต่เชื่อได้ว่าภาวะนี้อาจได้รับการถ่ายทอดทางพันธุกรรม (แต่ยังไม่มีหลักฐานที่แน่นอนมารองรับทฤษฎีนี้) โดยภาวะหลอดลมอ่อนตัวนี้ มักจะเกี่ยวข้องกับโรคที่ถูกถ่ายทอดทางพันธุกรรม เช่น ภาวะต่อมเพศไม่เจริญ โรคทางพันธุกรรมที่เกิดจากความผิดปกติของโครโมโซมคู่ที่ 11 (Costello Syndrome) เป็นต้น
ลักษณะเสียง และอาการที่พบบ่อยของ Laryngomalacia นั้นมักพบว่า เสียงหายใจดังครืดคราด โดยเฉพาะเวลาหายใจเข้า อาการมักชัดเจนมากขึ้นเมื่อร้องไห้ ตื่นเต้น หรือตอนกินนม เพราะกล่องเสียงจะถูกกระตุ้น โดยเสียงจะลดลงเมื่อเด็กนอนคว่ำหรือนั่งตัวตรง เพราะแรงโน้มถ่วงช่วยดึงเนื้อเยื่อไม่ให้หย่อนลง
ส่วนใหญ่แสดงอาการตั้งแต่ 2 สัปดาห์แรกหลังคลอด แต่บางรายอาจเห็นชัดเจนหลัง 1 เดือน อาการมักเป็นมากขึ้นในช่วง 4-8 เดือนแรก และจะค่อย ๆ ดีขึ้นเมื่ออายุ 12-18 เดือน
สำหรับการวินิจฉัย Laryngomalacia แพทย์อาจตรวจโดยการส่องกล้อง (Flexible Fiberoptic Laryngoscopy) ผ่านทางจมูกหรือปาก เพื่อดูว่าเนื้อเยื่อบริเวณขอบกล่องเสียงหย่อนลงระหว่างหายใจเข้าจริงหรือไม่ ในกรณีที่อาการไม่ชัดเจนหรือเด็กมีปัญหาระบบหายใจอื่น ๆ ร่วม แพทย์อาจตรวจภาพถ่ายเอ็กซ์เรย์หรือใช้เทคนิคเพิ่มเติม
แม้ว่า Laryngomalacia ส่วนใหญ่จะเป็นชนิดไม่รุนแรง และหายได้เองเมื่อกล่องเสียงพัฒนาแข็งแรงขึ้นตามอายุ แต่ก็ยังมีบางรายที่เกิดภาวะรุนแรง หรือ Severe Laryngomalacia คือ เด็กมีอาการ Laryngomalacia รุนแรง ที่รบกวนการดำเนินชีวิตประจำวันของเขา หรืออาจเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ การขาดออกซิเจน หรือการกินนมยากลำบาก
เกณฑ์ที่บ่งชี้ว่าอาจเป็น severe laryngomalacia
อาการมีความรุนแรงมากแค่ไหน
ในเด็กที่เป็น Severe Laryngomalacia อาจมีความผิดปกติที่กว้างขวางหรือมากกว่าในโครงสร้างกล่องเสียง เช่น ขอบกล่องเสียงด้านบน (Supraglottic) หย่อนไปมาก หรือเนื้อเยื่อขยายเกินกว่าปกติ ส่งผลให้ทางเดินหายใจตีบในระดับที่อันตราย กระทบต่อการแลกเปลี่ยนออกซิเจน
จำเป็นต้องรักษาเฉพาะทางหรือไม่
เมื่อวินิจฉัยแล้วว่าอยู่ในระดับรุนแรง แพทย์หู คอ จมูก หรือศัลยแพทย์ทางเดินหายใจเด็ก อาจแนะนำวิธีการรักษาด้วยการผ่าตัดลดเนื้อเยื่อส่วนเกิน (Supraglottoplasty) เพื่อเปิดทางเดินหายใจให้กว้างขึ้น หรือในกรณีรุนแรงมากอาจต้องใส่ท่อช่วยหายใจชั่วคราว
เมื่อได้ยินชื่อว่าเป็น “โรค” หรือ “ภาวะผิดปกติ” เกี่ยวข้องกับทางเดินหายใจของลูกน้อย ก็อาจสร้างความวิตกให้คุณพ่อคุณแม่ไม่น้อย สำหรับ โรค Laryngomalacia อันตรายไหม ส่วนใหญ่เป็นชนิดไม่รุนแรง โดยกรณี “Mild Laryngomalacia” หรือชนิดไม่รุนแรง จะมีสัดส่วนในการเป็นมากถึง 90% ขึ้นไปของผู้ป่วย โดยโรค Laryngomalacia เด็กมักมีเสียงหายใจครืดคราด แต่สามารถกินนมได้ปกติ เจริญเติบโตตามวัย เมื่อโตขึ้นประมาณ 1-2 ปี อาการจะลดลงอย่างชัดเจน และหายไปเองในที่สุด
ส่วนกรณีที่ต้องเฝ้าระวัง คุณพ่อคุณแม่ต้องสังเกตอาการในกลุ่ม Severe Laryngomalacia เช่น หายใจลำบาก ไซนัสอักเสบเรื้อรัง หรือหยุดหายใจขณะหลับ บางกรณีอาจมีการขาดออกซิเจนเรื้อรัง หรือมีภาวะกรดไหลย้อน (GERD) ร่วมด้วย ก็เป็นสิ่งที่ต้องประเมินอย่างต่อเนื่อง เพราะปัญหากรดไหลย้อนอาจกระตุ้นอาการหายใจครืดคราดมากขึ้น หรือทำให้มีปัญหาในการกิน นี่คือตัวชี้ว่าควรพาไปพบแพทย์ทันที
นอกจากนั้น ควรต้องระวังภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ ดังนี้
เมื่อรู้แล้วว่าโรคนี้ไม่ถึงกับอันตรายมากในกรณีทั่วไป แต่ก็ยังต้องการการใส่ใจดูแลเป็นพิเศษ เพราะเกี่ยวข้องกับระบบหายใจ และอาจกระทบต่อพัฒนาการในช่วงแรกของลูก เรามาดูแนวทางการดูแลเบื้องต้นที่สามารถทำได้ที่บ้าน รวมถึงวิธีการรักษาที่แพทย์อาจแนะนำ
1.สังเกตอาการอย่างใกล้ชิด
จดบันทึกความถี่ของเสียงหายใจครืดคราด หรือเวลาที่เสียงดังขึ้นชัดเจน เช่น หลังร้องไห้นาน ๆ หรือหลังดูดนม สังเกตสีหน้าหรือสีผิวของลูก หากมีอาการตัวเขียว (Cyanosis) หรือซีดลง อาจบ่งบอกว่าขาดออกซิเจน
2.ปรับท่าการนอนและการอุ้ม
เด็กที่มีภาวะ Laryngomalacia มักหายใจได้ดีขึ้นเมื่ออยู่ในท่ากึ่งตั้ง หรือท่านอนคว่ำบนอกแม่ (แต่ควรระวังความปลอดภัยเรื่องการหายใจในท่านอนคว่ำ) หากลูกชอบนอนหงาย ลองปรับหัวเตียงให้ยกสูงเล็กน้อย ช่วยลดแรงกดบริเวณคอ
3.จัดสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม
รักษาอากาศให้ปลอดโปร่ง หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น เช่น ฝุ่น ควันบุหรี่ หรือกลิ่นฉุน ที่อาจทำให้ลูกหายใจลำบาก ปรับอุณหภูมิห้องไม่ให้ร้อนหรือเย็นเกินไป เพราะอากาศแห้งอาจกระตุ้นให้เกิดความระคายเคืองของทางเดินหายใจ
4.บริหารการกินนม
เด็กบางคนจะเหนื่อยหอบหลังดูดนมได้สักระยะ คุณแม่อาจต้องแบ่งเวลาการป้อนนมให้ถี่ขึ้น แต่ปริมาณลดลง เพื่อให้ลูกได้รับสารอาหารเพียงพอโดยไม่เหนื่อยเกินไป หากลูกมีปัญหาเรื่องกรดไหลย้อน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาแนวทางในการดูแลอาการนี้
การรักษาทางการแพทย์
1.การใช้ยาลดกรดไหลย้อน
อาการกรดไหลย้อนอาจกระตุ้นอาการ Laryngomalacia ให้แย่ลงได้ การให้ยาลดกรดช่วยทำให้อาการครืดคราดเบาลง
2.การเฝ้าติดตามด้วยอุปกรณ์วัดออกซิเจน
ในรายที่สงสัยว่ามีปัญหาการหายใจขณะหลับหรือขณะดูดนม อาจต้องเฝ้าระวังด้วยการวัดค่าออกซิเจนในเลือดอย่างสม่ำเสมอ
3.การผ่าตัด
หากภาวะ Severe Laryngomalacia มีอาการรุนแรง แพทย์อาจพิจารณาผ่าตัดเปิดขยายหรือเล็มเนื้อเยื่อที่หย่อน เพื่อเปิดทางเดินหายใจให้กว้างขึ้น หลังผ่าตัด เด็กมักฟื้นตัวได้ดีในเวลาไม่นาน และอาการหายใจครืดคราดจะดีขึ้น
4.การดูแลพิเศษใน ICU
ถ้าเด็กมีภาวะหยุดหายใจบ่อย ๆ หรือขาดออกซิเจนขั้นวิกฤติ อาจต้องอยู่ในหอผู้ป่วยวิกฤติเด็ก เพื่อเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด รวมถึงอาจใช้เครื่องช่วยหายใจในบางช่วง
การดูแลขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของโรค Laryngomalacia หากไม่รุนแรงมาก คุณแม่สามารถสังเกตอาการและปรับสภาพแวดล้อมได้เองเป็นส่วนใหญ่ แต่ถ้าเข้าข่ายมีภาวะ Severe Laryngomalacia อาจต้องมีการรักษาในอีกระดับ
การได้ยินเสียงหายใจครืดคราดในเด็กแรกเกิดไม่ใช่เรื่องปกติเสมอไป แต่อาจเกิดจากหลากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นไขในจมูก เสมหะ หรือภาวะอย่าง Laryngomalacia การแยกแยะอาจไม่ง่ายสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ ดังนั้น การหมั่นสังเกตและบันทึกอาการจะช่วยให้เราทันกับอาการได้เร็วขึ้น ดังนี้
1.ลักษณะของเสียงหายใจที่ควรระวัง
2.ปัจจัยแวดล้อมที่เกี่ยวกับลักษณะการหายใจ
ข้อควรทำเมื่อได้ยินเสียงหายใจครืดคราดบ่อย ๆ
นอกจากเรื่องการดูแลภาวะทางเดินหายใจอย่างภาวะ Laryngomalacia แล้ว สิ่งที่คุณแม่ไม่ควรมองข้ามคือการเตรียมโภชนาการที่เหมาะสมและมีคุณภาพในช่วง 1,000 วันแรกของลูก ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาสำคัญมากต่อพัฒนาการทางสมองและสติปัญญา
โดย 80% ของสมอง จะเติบโตสูงสุดในช่วง 2 ขวบปีแรก และ 90% จะเติบโตสูงสุดในช่วง 5 ปีแรก ด้วยเหตุนี้ โภชนาการในช่วง 1,000 วันแรกของลูกน้อย จึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก
โภชนาการที่ดีจะช่วยเสริมสร้างพัฒนาการสมองและการเรียนรู้ของลูกน้อย โดยคุณแม่สามารถเสริมสร้างโภชนาการที่ดีได้ด้วยการให้ลูกน้อยได้รับนมแม่ตั้งแต่ 6 เดือนแรก และให้นมแม่อย่างต่อเนื่องควบคู่ไปกับอาหารตามวัยจนอายุ 2 ปี
เพราะในนมแม่มีสารอาหารสำคัญอย่าง MFGM หนึ่งเดียวที่มีงานวิจัยรองรับว่า* ช่วยให้มี IQ และ EF ที่เหนือกว่าตั้งแต่ 5 ขวบปีแรก ให้ลูกพร้อมกว่าเมื่อถึงวัยเข้าเรียน โดย MFGM ในนมแม่ เป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างเส้นใยประสาท (Myelin Sheath) และเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งสัญญาณประสาทเชื่อมต่อระหว่างเซลล์สมอง ทำให้สมองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถเรียนรู้และจดจำได้ดียิ่งขึ้น
*สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินีและศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย. นมแม่กับการพัฒนาทักษะสมองส่วน Executive Function. 2561
Enfa สรุปให้ Laryngomalacia คือ อาการของโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจของเด็ก เรียกเป็นชื่อไทยว่า กล่อ...
อ่านต่อEnfa สรุปให้ วิตามินซี วิตามินเอ และวิตามินดี เป็นกลุ่มวิตามินที่มีส่วนช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน...
อ่านต่อEnfa สรุปให้ อาการท้องเสียในเด็กเกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นท้องเสียจากเชื้อไวรัส ...
อ่านต่อ