Enfa สรุปให้
ลูกดิ้น เป็นสัญญาณที่แสดงถึงพัฒนาการของทารก ยิ่งทารกดิ้นบ่อย ก็เป็นสัญญาณว่าทารกมีสุขภาพดี ร่างกายแข็งแรง และมีพัฒนาการที่สมวัย
อย่างไรก็ตาม มีบางครั้งที่จู่ ๆ ทารกก็เริ่มดิ้นน้อยลง ไม่ค่อยดิ้น หรือไม่ดิ้นเลย สัญญาณเหล่านี้ บางครั้งถือว่าเป็นสัญญาณอันตราย
หากคุณแม่พบว่าลูกดิ้นน้อยกว่า 3-4 ครั้งต่อชั่วโมง และเมื่อรอนับในชั่วโมงถัดไปก็พบว่าทารกยังดิ้นน้อยอยู่ หรือไม่ดิ้นเลย ให้รีบไปพบแพทย์ทันที เพราะอาจเกิดความผิดปกติของทารกในครรภ์ได้
เลือกอ่านตามหัวข้อ
• สาเหตุที่ลูกไม่ดิ้น
• วิธีนับลูกดิ้น ปกตินับอย่างไร
• ลูกไม่ดิ้นกี่ชั่วโมงต้องไปพบแพทย์
• แม่มีอาการแบบนี้ ต้องไปพบแพทย์ทันที
• ไขข้อข้องใจเรื่องลูกไม่ค่อยดิ้นกับ Enfa Smart Club
เมื่อเข้าสู่ช่วงไตรมาส 2 คุณแม่ก็จะเริ่มรู้สึกได้ว่าลูกกำลังดิ้น ซึ่งลูกดิ้นถือว่าเป็นหนึ่งในสัญญาณที่บ่งบอกว่าทารกมีพัฒนาการที่ดี สามารถตอบสนองต่อสิ่งเร้าต่าง ๆ ได้แล้ว อย่างไรก็ตาม การดิ้นของทารกในครรภ์ บางครั้งก็อาจเป็นสัญญาณอันตรายได้เหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าลูกดิ้นน้อยลง หรือไม่ยอมดิ้นเลย วันนี้ Enfa จะชวนคุณแม่มาสังเกตการดิ้นที่ผิดปกติของลูกน้อยกันค่ะ
สาเหตุที่ลูกในท้องไม่ยอมดิ้น หรือดิ้นน้อยลงนั้น เกิดขึ้นได้จากหลายเหตุปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น:
ลูกดิ้นน้อยหลังจากที่แม่มีเซ็กซ์
ใช่ค่ะคนท้องสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ตลอดทุกช่วงอายุครรภ์ มากไปกว่านั้น ในขณะมีเซ็กซ์ มดลูกของแม่ก็จะมีการบีบตัวไปตามจังหวะจนกระทั่งถึงจุดสุดยอด ซึ่งแรงกระเพื่อมจากการบีบตัวของมดลูกนี้ สามารถช่วยกล่อมให้ทารกในครรภ์หลับสนิท
ดังนั้น หากรู้สึกว่าลูกดิ้นน้อยลงหลังมีเพศสัมพันธ์ ก็อย่าเพิ่งตกใจไปนะคะ ลักษณะเช่นนี้ถือว่าปกติ และการมีเซ็กซ์ไม่ได้ส่งผลกระทบรุนแรงใด ๆ ต่อทารกในครรภ์ค่ะ
จังหวะไม่ตรงกัน
ในช่วงที่คุณแม่ตื่นและทำกิจวัตรประจำวันตามปกติ อาจจะรู้สึกว่าทำไมวันนี้ลูกดิ้นน้อยจัง หรือแทบไม่ดิ้นเลย อาจเป็นไปได้ว่าในขณะที่คุณแม่งีบหรือหลับไปนั้น เป็นช่วงเวลาที่เจ้าตัวเล็กตื่น และมีการดิ้นตามปกติ เพียงแต่คุณแม่หลับอยู่และไม่รู้สึกตัวเท่านั้นเองค่ะ
หรือเป็นเพราะในขณะนั้นคุณแม่กำลังทำกิจกรรมที่มีการเคลื่อนไหวร่างกายหลากหลาย เช่น การทำงานบ้าน การออกกำลังกาย เพราะมีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอด จนบางครั้งก็อาจจะไม่ได้รู้สึกว่าลูกดิ้น ทั้งที่จริงแล้วลูกยังดิ้นตามปกติค่ะ
ท้องไตรมาสสาม
ท้องคุณแม่ในไตรมาสสามนั้นจะมีขนาดใหญ่ที่สุด เพราะทารกมีขนาดตัวใหญ่ขึ้น และเพราะเจ้าตัวเล็กตัวใหญ่ขึ้นนี่แหละค่ะ จึงทำให้เริ่มดิ้นน้อยลง เนื่องจากพื้นที่ในการดิ้นเหลือน้อยลง ทำให้ดิ้นได้ไม่เต็มที่
อย่างไรก็ตาม ปกติแล้วคุณแม่จะต้องมีการนับลูกดิ้นเป็นประจำอยู่แล้ว ซึ่งถ้าหากอยู่ดี ๆ พบว่าลูกดิ้นน้อยกว่า 3 ครั้งต่อชั่วโมง หรือในช่วงเวลา 12 ชั่วโมง คุณแม่พบว่าลูกดิ้นน้อยกว่า 10 ครั้ง กรณีแบบนี้ควรไปพบแพทย์ทันที เพราะอาจเกิดความผิดปกติบางอย่างกับทารกในครรภ์ได้
โดยทั่วไปแล้วจะมีช่วงจังหวะที่ทารกนอนหลับและไม่ดิ้นบ้าง หรือตัวใหญ่จนดิ้นไม่สะดวกบ้าง ลักษณะเช่นนี้ไม่ถือว่าอันตรายค่ะ
แต่หากคุณแม่เริ่มสังเกตว่าลูกไม่ค่อยดิ้น หรือแย่กว่านั้นคือลูกในท้องไม่ดิ้นเลย จากปกติจะมีการดิ้นและคุณแม่สัมผัสได้ตลอด
หากพบว่าลูกดิ้นน้อยกว่า 3 ครั้งต่อชั่วโมง หรือในช่วงเวลา 12 ชั่วโมง คุณแม่พบว่าลูกดิ้นน้อยกว่า 10 ครั้ง กรณีแบบนี้ควรไปพบแพทย์ทันที เพราะอาจเกิดความผิดปกติบางอย่างกับทารกในครรภ์ที่จำเป็นต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยกับแพทย์ทันที
ทารกจะเริ่มดิ้นในช่วงไตรมาสที่ 2 ของการตั้งครรภ์ หรือราว ๆ เดือนที่ 4-6 เป็นต้นไป โดยลักษณะการดิ้นของทารกนั้นคุณแม่สามารถที่จะนับได้ดังนี้
ให้คุณแม่เริ่มทำการนับลูกดิ้นตั้งแต่เวลา 9 โมงเช้า โดยเวลานับ จะต้องคอยนับให้ครบ 10 ครั้ง ซึ่งกระบวนการนับลูกดิ้นจะใช้เวลานับนานต่อเนื่อง 10-12 ชั่วโมง
ถ้าหากคุณแม่นับได้ครบ 10 ครั้ง หรือนับได้ 10 ครั้งขึ้นไปก็สบายใจได้ค่ะ ลักษณะแบบนี้เราถือว่าทารกปกติ ไม่มีสัญญาณอันตรายใด ๆ
ที่สำคัญคือในทุก ๆ การนับลูกดิ้น คุณแม่ควรจะจดบันทึกลงในสมุดนับลูกดิ้นด้วย เมื่อไหร่ที่ทารกดิ้นน้อยลง หรือไม่ดิ้นเลย คุณแม่จะได้มีข้อมูลประกอบการวินิจฉัยของแพทย์ว่าลูกเริ่มดิ้นน้อยลงเมื่อไหร่ และปกติลูกดิ้นมากหรือน้อยแค่ไหน
ปกติแล้วจะต้องนับการดิ้นของลูกให้ครบ 12 ชั่วโมง เพื่อดูว่าลูกดิ้นครบ 10 ครั้ง หรือมากกว่า 10 ครั้งหรือเปล่า
แต่ถ้าจู่ ๆ คุณแม่พบว่าลูกดิ้นน้อยกว่า 3-4 ครั้งต่อชั่วโมง ให้รอนับในชั่วโมงถัดไปว่าลูกยังดิ้นน้อยกว่า 3-4 ครั้งเหมือนเดิมไหม ถ้าหากยังดิ้นน้อยอยู่ หรือพยายามกระตุ้นให้ลูกดิ้นแล้วแต่ก็ไม่เป็นผล กรณีแบบนี้ควรไปพบแพทย์ทันทีที่รู้สึกว่าลูกดิ้นน้อยลงจนผิดปกติ เพราะอาจเกิดความผิดปกติบางอย่างกับทารกในครรภ์ได้
วางใจได้ในระดับหนึ่ง แต่ไม่สามารถวางใจได้ในอย่าง 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะแม้ว่าอัตราการเต้นของหัวใจจะบอกได้ว่าทารกยังปกติ แต่การเต้นของหัวใจของทารกไม่สามารถบอกได้ถึงความผิดปกติอื่น ๆ เช่น รกมีปัญหา หรือทารกในครรภ์มีความผิดปกติทางสรีระหรือไม่
ดังนั้น หากสัมผัสได้ว่าลูกดิ้นน้อยลง หรือไม่ดิ้นเลย ให้รีบไปพบแพทย์โดยด่วนค่ะ แม้ว่าท้ายที่สุดผลการตรวจจะออกมาว่าลูกปกติ ก็ยังดีกว่าคุณแม่ตีขลุมเอาเองว่าลูกปกติ และเมื่อไปถึงมือแพทย์ก็พบว่าสายเสียแล้ว ถือเป็นการป้องกันเผื่อสถานการณ์ที่ฉุกเฉินที่สุดไว้ก่อนค่ะ
โดยปกติแล้วหลังอาหารคุณแม่ก็จะมีการนับลูกดิ้นตามปกติอยู่แล้วค่ะ ซึ่งการที่ทารกไม่ดิ้นหลังจากมื้ออาหารนั้นตอบได้ยากมากค่ะว่าเกิดจากสาเหตุใด ทารกอาจจะกำลังหลับอยู่ หรือคุณแม่อาจอุ้มท้องมาถึงไตรมาสสามแล้ว และทารกเหลือพื้นที่ในการดิ้นน้อย จึงไม่ค่อยดิ้น ลักษณะเหล่านี้ไม่อันตรายค่ะ
แต่ถ้าหากว่าลูกดิ้นน้อยกว่า 3-4 ครั้งต่อชั่วโมง ให้รอนับในชั่วโมงถัดไปว่าลูกยังดิ้นน้อยกว่า 3-4 ครั้งเหมือนเดิมไหม ถ้าหากยังดิ้นน้อยอยู่ หรือพยายามกระตุ้นให้ลูกดิ้นแล้วแต่ก็ไม่เป็นผล กรณีแบบนี้ควรไปพบแพทย์ทันทีที่รู้สึกว่าลูกดิ้นน้อยลงจนผิดปกติ เพราะอาจเกิดความผิดปกติบางอย่างกับทารกในครรภ์ได้ค่ะ
ลูกไม่ดิ้น ท้องแข็งร่วมด้วย ลักษณะแบบนี้ให้คุณแม่นับลูกดิ้นดูก่อนค่ะ หากว่าลูกดิ้นน้อยกว่า 3-4 ครั้งต่อชั่วโมง ให้รอนับในชั่วโมงถัดไปว่ายังน้อยกว่า 3-4 ครั้งเหมือนเดิมไหม
ถ้าลูกยังคงดิ้นน้อยอยู่ หรือคุณแม่พยายามกระตุ้นให้ลูกดิ้นแล้วแต่ก็ไม่เป็นผล กรณีแบบนี้ควรไปพบแพทย์ทันทีที่รู้สึกว่าลูกดิ้นน้อยลงจนผิดปกติ เพราะอาจเกิดความผิดปกติบางอย่างกับทารกในครรภ์ได้ค่ะ
จริง ๆ แล้วไม่ต้องรอให้คุณแม่มีอาการใด ๆ เลยค่ะ ถ้าหากพบว่าลูกดิ้นน้อยกว่า 3-4 ครั้งต่อชั่วโมง ให้รอนับในชั่วโมงถัดไปว่ายังดิ้นน้อยกว่า 3-4 ครั้งเหมือนเดิมไหม ถ้าลูกยังดิ้นน้อยเหมือนเดิม ให้ไปพบแพทย์ทันทีโดยไม่ต้องรอดูว่าคุณแม่จะมีอาการอะไรไหม
อย่างไรก็ตาม หากคุณแม่มีอาการดังต่อไปนี้ ต่อให้ลูกจะดิ้นตามปกติหรือไม่ดิ้น ก็ควรไปพบแพทย์ทันที
มีไข้สูงเกิน 38 องศา
อาเจียนอย่างต่อเนื่อง
ท้องเสียไม่หยุด
วิงเวียนศีรษะและหมดสติ
ปวดแสบ ปวดร้อน เวลาปัสสาวะ
ตกขาวผิดปกติ
มีเลือดออกทางช่องคลอด
มีอาการบวมที่ใบหน้า มือ และนิ้วมือ
ปวดศีรษะรุนแรง หรือปวดศีรษะรุนแรงอย่างกะทันหัน
ปวดท้องรุนแรง หรือปวดท้องรุนแรงอย่างกะทันหัน
หายใจไม่ออก หายใจลำบาก หายใจถี่ ๆ
ตาพร่ามัว
ปกติแล้วทารกจะเริ่มดิ้นตั้งแต่อายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป แต่ก็อย่าเพิ่งกังวลไปนะคะ เพราะบางครั้งช่วงอายุครรภ์ 4 เดือนก็อาจจะยังเร็วไปจนสัมผัสไม่ได้ว่าลูกดิ้น หรือก็อาจเป็นไปได้ว่าลูกจะไปเริ่มดิ้นมากขึ้นในช่วงเดือนที่ 5-6 ก็เป็นไปได้ค่ะ
อย่างไรก็ตาม หากพบว่าปกติแล้วลูกดิ้นบ่อย แต่จู่ ๆ ลูกดิ้นน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด หรือพบว่าลูกดิ้นน้อยกว่า 3-4 ครั้งต่อชั่วโมง ให้รอนับในชั่วโมงถัดไปว่าลูกยังคงดิ้นน้อยกว่า 3-4 ครั้งเหมือนเดิมไหม ถ้าลูกยังดิ้นน้อยเหมือนเดิม ให้ไปพบแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณความผิดปกติได้ค่ะ
ปกติแล้วทารกจะเริ่มดิ้นตั้งแต่อายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป แต่ก็อย่าเพิ่งกังวลไปนะคะ เพราะบางครั้งช่วงอายุครรภ์ 4-5 เดือนก็อาจจะยังเร็วไปจนสัมผัสไม่ได้ว่าลูกดิ้น หรือก็อาจเป็นไปได้ว่าลูกไม่ค่อยดิ้น 5 เดือน แต่จะไปเริ่มดิ้นมากขึ้นในช่วงเดือนที่ 6 ก็เป็นไปได้ค่ะ
อย่างไรก็ตาม หากพบว่าปกติแล้วลูกดิ้นบ่อย แต่จู่ ๆ ลูกไม่ค่อยดิ้นตอน 5 เดือนอย่างเห็นได้ชัด หรือพบว่าลูกดิ้นน้อยกว่า 3-4 ครั้งต่อชั่วโมง ให้รอนับในชั่วโมงถัดไปว่าลูกยังคงดิ้นน้อยกว่า 3-4 ครั้งเหมือนเดิมไหม ถ้าลูกยังดิ้นน้อยเหมือนเดิม ให้ไปพบแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณความผิดปกติได้ค่ะ
ปกติแล้วช่วงอายุครรภ์ 6 เดือนนี่ทารกจะดิ้นให้รู้สึกได้บ่อย ๆ ค่ะ แต่ถ้าจู่ ๆ ลูกไม่ค่อยดิ้น 6 เดือน ตรงนี้คุณแม่อย่าเพิ่งตระหนกไปค่ะ ให้ลองนับลูกดิ้นดูก่อนว่าลูกดิ้นน้อยกว่า 3-4 ครั้งต่อชั่วโมง ให้รอนับในชั่วโมงถัดไปว่ายังน้อยกว่า 3-4 ครั้งเหมือนเดิมไหม ถ้าลูกยังดิ้นน้อยเหมือนเดิม ให้ไปพบแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณความผิดปกติได้ค่ะ
ลูกไม่ค่อยดิ้น 8 เดือน โดยมากแล้วไม่ค่อยเป็นสัญญาณของความผิดปกติค่ะ เนื่องจากในช่วงไตรมาสสุดท้ายแบบนี้ ขนาดตัวทารกจะใหญ่ขึ้น ทำให้พื้นที่ในการดิ้นภายในท้องของแม่เหลือน้อยลง ทารกจึงดิ้นได้น้อยลงไปด้วย ทารกจึงอาจจะดิ้นไม่บ่อย แต่ก็ไม่ถึงกับไม่ดิ้นเลย
อย่างไรก็ตาม หากพบว่าลูกดิ้นน้อยกว่า 3-4 ครั้งต่อชั่วโมง ให้รอนับในชั่วโมงถัดไปว่ายังน้อยกว่า 3-4 ครั้งเหมือนเดิมไหม ถ้าลูกยังดิ้นน้อยเหมือนเดิม ให้ไปพบแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณความผิดปกติได้ค่ะ
บทความแนะนำสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์