Enfa สรุปให้
เลือกอ่านตามหัวข้อ
เรื่องอาหารการกินของคนท้องนั้นถือว่าเป็นหนึ่งในเรื่องสำคัญอันดับต้น ๆ ที่จะต้องคอยดูแลเป็นอย่างดี เพราะทุกอย่างที่คุณแม่กินเข้าไปไม่ได้มีผลต่อร่างกายของคุณแม่เพียงอย่างเดียว แต่เจ้าตัวเล็กในท้อง ก็พลอยจะได้รับทั้งข้อดีและข้อเสียของอาหารนั้น ๆ ตามไปด้วย
ถ้ากินอาหารดี มีประโยชน์ ลูกก็จะคลอดออกมาแข็งแรง แต่ถ้าคุณแม่กินอาหารต้องห้าม อาหารที่ควรเลี่ยง ก็อาจจะส่งผลเสียต่อสุขภาพของทารกในครรภ์ หรืออาจนำไปสู่ความผิดปกติขณะตั้งครรภ์ได้ วันนี้ Enfa จะพามาดูกันว่า อาหารแบบไหนที่คนท้องต้องเลี่ยง และคนท้องห้ามกินอะไร
หลัก ๆ แล้วคนท้องกินอาหารได้หลายอย่างมากค่ะ อาหารที่ต้องห้ามนั้นถือว่ามีน้อย และบางอย่างก็เป็นอาหารที่คุณแม่หลายคนไม่กินอยู่แล้ว ดังนั้น หากจะถามว่าคนท้องไม่ควรกินอะไร หรืออาหารที่คนท้องไม่ควรกิน มีอะไรบ้าง ก็อาจจะต้องแยกเป็นกรณีไป ดังนี้
สิ่งที่คนท้องห้ามกินเด็ดขาด บางอย่างอาจจะดูเป็นมื้ออาหารปกติ แต่อย่าลืมว่าสุขภาพคนท้องนั้นค่อนข้างมีความอ่อนไหว อาหารบางอย่างที่กินได้ปกติเมื่อตอนยังไม่ท้อง เมื่อท้องแล้วอาจจะเพิ่มความเสี่ยงต่อสุขภาพการตั้งครรภ์ได้ ไม่ว่าจะเป็น:
อาหารบางอย่างคุณแม่ท้องก็ยังสามารถที่จะกินได้ปกติ แต่...ควรจำกัดปริมาณ เพราะถ้าหากกินมากเกินไป จากที่ไม่อันตราย ก็เสี่ยงที่จะอันตรายต่อการตั้งครรภ์
ช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ ถือว่าเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญมากค่ะ คุณแม่จำเป็นและควรที่จะกินอาหารที่มีประโยชน์ และให้สารอาหารที่จำเป็นสต่อการตั้งครรภ์ เพราะในไตรมาสแรกนี้ตัวอ่อนเริ่มที่จะสร้างเซลล์อวัยวะต่าง ๆ หากไม่ได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ ก็จะส่งผลต่อสุขภาพและพัฒนาการของทารกในครรภ์ในอนาคตได้ค่ะ
จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมคนที่ท้องในไตรมาสแรกจึงมักจะกังวลว่า คนท้องอ่อนห้ามกินอะไร หรือ ท้องอ่อนห้ามกินอะไร
ซึ่งอาหารที่คนท้องอ่อนห้ามกินในช่วงไตรมาสแรกนี้ก็จะเป็นหลักปฏิบัติเดียวกันกับทุกช่วงอายุครรภ์เลยค่ะ นั่นก็คือไม่ควรกินอาหารจำพวก:
คนท้องห้ามกินอะไรบ้าง? หลัก ๆ แล้วในระยะเวลาการตั้งครรภ์ตลอดทั้ง 9 เดือนนั้น ก็จะเหมือนกันทั้งหมด กล่าวคือช่วงที่ตั้งครรภ์อยู่ ควรจะหลีกหนีจากอาหารเหล่านี้ให้ไกล ไม่แตะเลยอย่างเด็ดขาด เพื่อสุขภาพการตั้งครรภ์ที่สมบูรณ์แข็งแรงทั้งแม่และเด็ก
อาหารที่คนท้องห้ามกิน คือ อาหารจำพวก:
อย่างไรก็ตาม ยังมีอาหารอีกหลายอย่างที่คุณแม่อาจจะรู้สึกลังเลและก้ำกึ่งในใจว่า กินได้ หรือกินไม่ได้ ตัวอย่างเช่น:
คนท้องสามารถกินหอยนางรมได้ค่ะ แต่...ควรกินในปริมาณที่พอดี และสำคัญที่สุดคือห้ามกินหอยนางรมดิบเด็ดขาด! เพราะอาหารที่ไม่ผ่านการปรุงสุกถือว่าเป็นอาหารต้องห้ามของคนท้องค่ะ เนื่องจากเสี่ยงที่จะได้รับพยาธิหรือเชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ร่างกาย จึงควรกินแต่หอยนางรมที่ปรุงสุกเท่านั้น
อาหารทะเลมักจะมีการปนเปื้อนของสารปรอท คนท้องหลาย ๆ คนเลยเลี่ยงที่จะไม่กิน แต่จริง ๆ แล้วคนท้องสามารถกินอาหารทะเลได้นะคะ อย่างน้อยควรจะกินอาหารทะเล 8-10 ออนซ์ต่อสัปดาห์ เพื่อให้ได้คุณค่าทางสารอาหารที่ครบถ้วน
โดยอาหารทะเลที่เป็นที่นิยมมากอย่างปลาหมึกนั้น คุณแม่บางคนอาจจะกังวลว่าไม่ควรกิน แต่คนท้องสามารถกินปลาหมึกได้ค่ะ เพราะในปลาหมึกนั้นไม่ได้มีระดับของสารปรอทที่สูงจนเป็นอันตราย เพียงแต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ปลาหมึกนั้นจะต้องผ่านการปรุงสุกแล้วเท่านั้น
คนท้องกับการฟังความเชื่อที่ส่งต่อกันมานั้น เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ค่ะ แม้แต่ผลไม้บางอย่างยังถูกดิสเครดิตว่าเป็นผลไม้ที่คนท้องไม่ควรกิน แล้วในความเป็นจริงมันมีผลไม้ที่คนท้องไม่ควรกินหรือเปล่า คนท้องห้ามกินผลไม้อะไรบ้าง?
บอกได้เลยว่า คนท้องกินผลไม้ได้ทุกชนิดเลยค่ะ ไม่มีผลไม้ชนิดใดที่จะส่งผลอันตรายต่อการตั้งครรภ์รุนแรงเลยค่ะ ยกเว้นว่าคุณแม่มีอาการแพ้ผลไม้ชนิดนั้น ๆ
เป็นผลไม้ที่อยู่ในความเข้าใจผิดมาตลอดว่าคนท้องห้ามกินทุเรียน ทั้งที่จริงแล้วคนท้องกินทุเรียนได้ค่ะ เพียงแต่ว่าทุเรียนเป็นผลไม้ที่มีพลังงานค่อนข้างสูง และก็มีน้ำตาลในปริมาณมาก
ดังนั้น แม้ว่าคนท้องจะกินทุเรียนได้ ก็ควรจะกินแต่พอดี ไม่ควรกินเกิน2-3 พู หรือประมาณ 4-6 เม็ด เพื่อป้องกันไม่ให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งเสี่ยงต่อความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ได้ค่ะ
มะพร้าวและน้ำมะพร้าวก็มักถูกเข้าใจผิดว่า ถ้ากินเข้าไปมาก ๆ จะทำให้แท้ง หรือทำให้ทารกคลอดออกมาแล้วไม่มีไข ซึ่งก็ไม่เป็นความจริงเลยค่ะ แม้ในน้ำมะพร้าวจะมีเอสโตรเจนสูง แต่ก็ไม่ได้มากพอที่จะทำให้เกิดอาการแท้งได้ ส่วนไขขาว ๆ ที่อยู่รอบตัวทารกนั้น เมื่ออายุครรภ์มากขึ้นจนใกล้คลอด ไขเหล่านั้นก็จะค่อย ๆ ลดลงไปเองตามธรรมชาติ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับน้ำมะพร้าวเลยน
ดังนั้น คุณแม่จึงสามารถกินทั้งมะพร้าวและน้ำมะพร้าวได้ตามปกติเลยค่ะ แต่อย่าลืมสลับกินอย่างอื่นบ้าง มื้ออาหารจะได้ไม่น่าเบื่อจนเกินไป
คำตอบเดียวของคุณแม่ที่ไม่ควรกินสับปะรดก็คือคุณแม่ที่มีอาการแพ้สับปะรดค่ะ แต่ถ้าคุณแม่ไม่มีอาการแพ้ใด ๆ ต่อสับปะรด ก็สามารถที่จะกินได้ตามปกติเลยค่ะ สับปะรดไม่ได้ส่งผลเสียต่อการตั้งครรภ์หรือเป็นอันตรายต่อสุขภาพของทารกในครรภ์แต่อย่างใด กลับกันคือมีประโยชน์ต่อสุขภาพคุณแม่เสียด้วยซ้ำ
มีความเชื่อที่บอกต่อ ๆ กันมาว่าถ้าคนท้องกินแตงโมมาก ๆ แล้วจะบวมน้ำ ซึ่งแม้ว่าแตงโมจะเป็นผลไม้ที่มีความฉ่ำน้ำสูงก็จริง แต่ก็ไม่มากพอจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการบวมน้ำในคนท้องได้
และในความเป็นจริงแล้วอาการบวมน้ำเป็นอาการที่พบได้ทั่วไปในคนท้องค่ะ ดังนั้น จะกินหรือไม่กินแตงโม คุณแม่ก็อาจจะมีอาการบวมน้ำได้เช่นกัน ที่สำคัญก็คือถ้าคุณแม่ไม่ได้มีอาการแพ้แตงโม ก็สามารถที่จะกินแตงโมได้อย่างสบายใจเลยค่ะ
สิ่งที่น่ากังวลหลัก ๆ ของเงาะก็คือ เป็นผลไม้ที่ค่อนข้างมีน้ำตาลสูง ดังนั้น คุณแม่ที่เป็นเบาหวาน หรือมีอาการทางสุขภาพที่จำเป็นจะต้องควบคุมปริมาณน้ำตาล เช่นนั้นเงาะก็อาจจะเป็นผลไม้ที่คุณแม่ต้องเลี่ยงค่ะ
แต่ถ้าคุณแม่ไม่ได้มีปัญหากับสุขภาพในเรื่องของระดับน้ำตาล ก็สามารถกินเงาะได้ตามปกติเลย แต่ทางที่ดีก็อย่ากินมากเกินไป และไม่กินบ่อยจนเกินไป เพราะอาจจะกลายเป็นว่าไปทำให้ร่างกายมีระดับน้ำตาลสูงขึ้นได้
โดยมากแล้วคุณแม่ก็สามารถที่จะกินผักได้ทุกชนิดเลยค่ะ เพราะเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ดีต่อสุขภาพการตั้งครรภ์ เว้นแต่คุณแม่อาจจะมีอาการแพ้ต่อผักบางชนิด ก็อาจจะต้องหลีกเลี่ยงให้ดีเพื่อไม่ให้เกิดอาการแพ้รุนแรงจนเป็นอันตรายต่อการตั้งครรภ์ค่ะ
ถั่วงอกนี้มักจะกินกันสด ๆ ซึ่งถั่วงอกที่ไม่ผ่านการลวกหรือปรุงให้สุกก่อนนั้นมักจะมีเชื้อแบคทีเรียเชื้อซัลโมเนลลา หรืออีโคไล อยู่ด้วย ดังนั้น ทางที่ดีควรกินแต่ถั่วงอกสุกเท่านั้น และหลีกเลี่ยงถั่วงอกสด เพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อในขณะตั้งครรภ์ค่ะ
จริง ๆ แล้วผลเสียของการกินเฉาก๊วยนั้นในปัจจุบันยังถือว่ามีผลการศึกษาและผลการวิจัยที่ค่อนข้างน้อย แต่ก็ไม่พบว่าเฉาก๊วยส่งผลเสียต่อการตั้งครรภ์นะคะ
ดังนั้น คนท้องจึงสามารถกินเฉาก๊วยได้ค่ะ เพียงแต่สิ่งที่น่ากังวลมากว่าเฉาก๊วยก็คือ พวกน้ำเชื่อม น้ำตาลที่เติมมากับเฉาก๊วยนั่นต่างหากที่น่ากังวลยิ่งกว่า เพราะถ้าหากกินบ่อย ๆ ร่างกายก็จะสะสมทั้งน้ำตาลและไขมันเอาไว้มาก อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว เช่น โรคอ้วน เบาหวาน จึงควรกินแต่พอดีค่ะ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งแม่ที่เป็นโรคเบาหวาน หรือมีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับระดับน้ำตาลในเลือด ยิ่งไม่ควรจะกินเยอะ เพราะเสี่ยงที่จะทำให้อาการทางสุขภาพแย่ลงได้
เครื่องดื่มที่คนท้องห้ามกินและดื่มอย่างเด็ดขาดเลยก็คือ แอลกอฮอล์ เพราะเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดอันตรายรุนแรงต่อการตั้งครรภ์ หรืออาจนำไปสู่การแท้งลูก หรือคลอดก่อนกำหนดได้
อย่างไรก็ตาม คุณแม่ยังสามารถดื่มเครื่องดื่มอื่น ๆ ได้ตามปกติ เพียงแต่เครื่องดื่มบางอย่างก็อาจจะต้องมีการจำกัดปริมาณการดื่มในแต่ละวัน ได้แก่:
คนท้องสามารถดื่มกาแฟได้ค่ะ ได้ไม่ควรดื่มเกินวันละ 1-2 แก้ว หรือควรดื่มเพียงวันละแก้วก็เพียงพอแล้ว เนื่องจากในกาแฟนั้นมีคาเฟอีนสูง ยิ่งดื่มมาก ยิ่งได้รับคาเฟอีนมาก
หากร่างกายของคุณแม่สะสมคาเฟอีนเข้าไปจำนวนมากและสะสมเอาไว้เรื่อย ๆ คาเฟอีนสามารถส่งผลเสียต่อการตั้งครรภ์ได้ เช่น รบกวนการนอนหลับของทารกในครรภ์ เสี่ยงที่ทารกในครรภ์จะคลอดออกมามีน้ำหนักตัวน้อยกว่าเกณฑ์
ชาเขียวรสชาติกลมกล่อม ใครบ้างจะไม่ชอบดื่ม แต่คุณแม่ท้องก็ไม่ควรดื่มชาเขียวมากเกินไปอยู่ดีนะคะ ควรดื่มแค่วันละ 1-2 แก้ว หรือควรดื่มเพียงวันละแก้วก็เพียงพอแล้ว เนื่องจากใบชาที่นำมาทำเป็นชาเขียวนั้นมีคาเฟอีนสูง ยิ่งดื่มมาก ยิ่งได้รับคาเฟอีนมาก
หากร่างกายของคุณแม่สะสมคาเฟอีนเข้าไปจำนวนมากและสะสมเอาไว้เรื่อย ๆ คาเฟอีนสามารถส่งผลเสียต่อครรภ์ได้ เช่น รบกวนการนอนหลับของทารกในครรภ์ เสี่ยงที่ทารกในครรภ์จะคลอดออกมามีน้ำหนักตัวน้อยกว่าเกณฑ์
โกโก้เองก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่มีปริมาณคาเฟอีนสูง ไม่ว่าจะเป็นผงโกโก้สำหรับนำมาชงเป็นเครื่องดื่ม หรือสำหรับทำอาหาร หรือแม้แต่ช็อกโกแลตก็มีส่วนผสมของโกโก้ด้วย
ดังนั้น คุณแม่ท้องจึงควรจะมีการจำกัดปริมาณโกโก้ต่อวันเอาไว้ด้วย นาน ๆ กินที และกินครั้งละพอประมาณ ไม่มากจนเกินไป ก็จะได้รับทั้งความอร่อย คุณค่าทางสารอาหารจากโกโก้ และลดความเสี่ยงของการสะสมคาเฟอีนด้วย
หากร่างกายของคุณแม่สะสมคาเฟอีนเข้าไปจำนวนมากและสะสมเอาไว้เรื่อย ๆ คาเฟอีนสามารถส่งผลเสียต่อครรภ์ได้ เช่น รบกวนการนอนหลับของทารกในครรภ์ เสี่ยงที่ทารกในครรภ์จะคลอดออกมามีน้ำหนักตัวน้อยกว่าเกณฑ์
จริง ๆ แล้วแม่ท้องสามารถดื่มโซดาได้นะคะ เพียงแต่ว่าโซดาไม่ได้ให้สารอาหารที่จะมีประโยชน์ต่อร่างกายมากอะไรนัก ทางทีดีดื่มน้ำเปล่า น้ำผลไม้ ก็จะดีต่อสุขภาพในระยะยาวมากกว่า
มากไปกว่านั้น โซดายังมีแก๊สและกรดต่าง ๆ ผสมอยู่ การบริโภคบ่อย ๆ อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของฟัน หรือส่งผลต่ออาการกรดไหลย้อนได้
ชาเย็น อีกเครื่องดื่มยอดนิมยมของคุณแม่หลายคน แต่คุณแม่ท้องไม่ควรจะดื่มมากเกินวันละแก้ว และไม่ควรดื่มทุกวัน
เพราะนอกจากปริมาณคาเฟอีนที่จะสะสมเข้าสู่ร่างกายทุกวันแล้ว ยังเสี่ยงที่จะสะสมทั้งน้ำตาลและไขมัน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคอ้วน โรคเบาหวาน ไขมันอุดตันเส้นเลือด และปัญหาเรื่องของระดับน้ำตาลในเลือด เนื่องมาจากว่าชาเย็นนั้นมักจะมีการเติมน้ำตาล นมข้นหวาน นมข้นจืด เพื่อเพิ่มรสชาติหวานให้กับชาเย็น ดังนั้น บริโภคแต่น้อย ดีต่อสุขภาพมากกว่าค่ะ
ยาและอาหารเสริมก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่คุณแม่หลายคนมักจะเกิดความกังวลและสงสัยว่า ยาพวกนี้ วิตามินเหล่านี้ ก่อนท้องกินได้ปกติ แล้วถ้ากินตอนท้องจะอันตรายต่อการตั้งครรภ์ไหมนะ? ในส่วนนี้ก็ต้องถือว่าดีแล้วค่ะที่คุณแม่มีความกังวลขึ้นมาก่อน เพราะยาและวิตามินเสริมบางอย่างก็จำเป็นจะต้องได้รับความเห็นชอบจากแพทย์ก่อนว่าปลอดภัยต่อการตั้งครรภ์ จึงสามารถกินได้
แม่ท้องสามารถกินยาพาราเซตามอลได้ค่ะ แต่ยาพาราเซตามอลในคนท้องนั้นจะต้องอิงจากน้ำหนักตัวเป็นสำคัญ โดยจะต้องกินยาพาราเซตามอล 10-15 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม หรือตัวอย่างเช่น
และควรจะกินยาพาราเซตามอลทุก ๆ 4-6 ชั่วโมง แต่ว่าไม่ควรกินยาพาราเซตามอลเกิน 4,000 มิลลิกรัม ต่อวัน หรือไม่ควรเกิน 8 เม็ดต่อวัน
วิตามินซี เป็นหนึ่งในวิตามินสำคัญที่คุณแม่ท้องควรจะได้รับอย่างเหมาะสมในทุก ๆ วัน โดยปริมาณวิตามินซีสำหรับคนท้องคือ 85 มิลลิกรัมต่อวัน
ซึ่งวิตามินซีนี้ไม่จำเป็นจะต้องเป็นวิตามินซีเสริมแบบเม็ดเลยค่ะ เพราะคุณแม่จะได้รับวิตามินซีจากผักและผลไม้ที่กินในแต่ละมื้ออยู่แล้ว
คอลลาเจน เป็นอีกหนึ่งวิตามินเสริมที่หลายคนมักจะกินเป็นประจำ เพื่อส่วนช่วยเสริมสุขภาพผม เล็บ ผิวหนัง มากไปกว่านั้น แม่ท้องหลายคนเลือกกินคอลลาเจนเพื่อป้องกันความเสี่ยงการแตกลายที่หน้าท้องด้วย
อย่างไรก็ตาม คอลลาเจนถือว่าเป็นวิตามินเสริมที่ปลอดภัยค่ะ กินเข้าไปแล้วไม่ส่งผลเสียต่อทารกในครรภ์ แต่ในทางการแพทย์แล้วคอลลาเจนก็คือโปรตีนที่เราได้จากการกินอาหารในแต่ละมื้ออยู่แล้ว ดังนั้น คุณแม่ไม่จำเป็นจะต้องกินคอลลาเจนเป็นวิตามินเสริมเลยค่ะ หรือถ้าหากต้องการจะกินจริง ๆ แนะนำว่าควรปรึกษากับแพทย์ก่อน ทั้งยังต้องเลือกคอลลาเจนยี่ห้อที่ได้มาตรฐานความปลอดภัยด้วย
ภาวะเลือดจาง หรือโลหิตจาง เกิดจากสาเหตุหลัก ๆ คือ
ซึ่งสิ่งที่จะมีส่วนช่วยให้เซลล์เม็ดเลือดแดงผลิตเพิ่มขึ้นนั้นก็คือธาตุเหล็ก หากร่างกายขาดธาตุเหล็ก หรือดูดซึมธาตุเหล็กได้ไม่ดี ก็จะส่งผลให้เกิดภาวะโลหิตจาง และเซลล์เม็ดเลือดแดงลดลง
ดังนั้น อาหารสำคัญของแม่ที่มีภาวะเลือดจางคือ
อย่างไรก็ตาม คนท้องเลือดจาง ก็ยังจำเป็นจะต้องหลีกเลี่ยงอาหารบางชนิด ไม่ว่าจะเป็น
เนื่องจากอาหารกลุ่มดังกล่าว อาจจะไปขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็ก และทำให้ร่างกายได้รับธาตุเหล็กไม่เพียงพอที่จะกระตุ้นให้เกิดการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง
แม่ท้องควรจะกินอาหารให้หลากหลาย เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพของคุณแม่และทารกในครรภ์ โดยสารอาหารสำคัญที่คุณแม่ควรจะได้รับในแต่ละมื้อ ได้แก่:
1. อาหารที่มี DHA สูง
ดีเอชเอ (Docosahexaenoic Acid) คือ กรดไขมันโอเมก้า 3 ชนิดหนึ่ง ที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาทางสมอง ดวงตา และระบบประสาท นอกจากนี้ยังอาจช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์บางอย่าง เช่น การคลอดก่อนกำหนด หรือโรคซึมเศร้าหลังคลอดได้อีกด้วย อาหารที่มีดีเอชเอสูง เช่น ปลาทะเล อโวคาโด ไข่แดง เป็นต้น คุณแม่ควรกินอย่างน้อยสัปดาห์ละสองครั้ง หรือดื่มนมสูตรเสริมดีเอชเอก็ดีเช่นกันค่ะ
2. อาหารที่มีโปรตีนสูง
โปรตีน เป็นสารอาหารสำคัญต่อการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อและอวัยวะต่าง ๆ ของทารกในครรภ์ อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างน้ำนมให้กับคุณแม่ ตัวอย่างอาหารที่มีโปรตีนสูง เหมาะสำหรับคนท้อง เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ หรือถั่วต่าง ๆ ประมาณ 75 – 110 กรัม/วัน ทั้งนี้ยังขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวของคุณแม่ และไตรมาสของการตั้งครรภ์ โดยคำนวณง่าย ๆ คือในหนึ่งมื้ออาหาร ควรมีโปรตีนประมาณ 30 - 40% ของอาหารที่กินนั่นเอง
3. อาหารที่มีธาตุเหล็กสูง
อาหารที่มีธาตุเหล็ก ถือเป็น อาหารคนท้องที่สำคัญอีกหนึ่งชนิด เพราะสามารถช่วยป้องกันภาวะโลหิตจางระหว่างตั้งครรภ์ ซึ่งถือเป็นสาเหตุอันดับต้น ๆ ของการคลอดทารกที่มีน้ำหนักแรกเกิดน้อยกว่าเกณฑ์ปกติ ดังนั้น คุณแม่ควรได้รับธาตุเหล็กไม่ต่ำกว่า 27 มิลลิกรัม/วัน ซึ่งสามารถหาได้จากการกินอาหารประเภท เนื้อแดง ไข่แดง ตับ งา และผักสีเขียวเข้ม เป็นต้น
4. อาหารที่มีโฟเลตสูง
กรดโฟลิก หรือโฟเลต ก็เป็นอีกหนึ่งสารอาหารที่คุณแม่ตั้งครรภ์ไม่ควรมองข้าม เพราะมีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาของระบบประสาทและสมอง หากคุณแม่ได้รับโฟเลตไม่เพียงพอ ก็อาจส่งผลให้ลูกน้อยเกิดปัญหาเกี่ยวกับระบบประสาทได้ ดังนั้น คุณแม่ตั้งครรภ์จึงควรได้รับโฟเลตอย่างน้อย 600-800 มิลลิกรัม/วัน จากการกินอาหารประเภท ตับ ไข่ ผักใบเขียว และถั่วต่าง ๆ เป็นต้น
5. อาหารที่มีแคลเซียมสูง
อย่างที่รู้กันว่า แคลเซียมนั้นมีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง โดยเฉพาะในช่วงเวลาการเจริญเติบโตของลูกน้อย ยิ่งทำให้คุณแม่ต้องบำรุงร่างกายเพิ่มเติมพร้อมเสริมแคลเซียมให้เพียงพอต่อความต้องการในแต่ละวัน โดยปกติ ผู้หญิงตั้งครรภ์มักจะต้องการแคลเซียมประมาณ 1,000 มิลลิกรัม/วัน ซึ่งหาได้จากการกินอาหารจำพวกนม หรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม เช่น ชีส เนย หรือโยเกิร์ต เป็นต้น
6. อาหารที่มีไอโอดีนสูง
หากคุณแม่ตั้งครรภ์ได้รับไอโอดีนไม่เพียงพอ อาจทำให้ระดับฮอร์โมนไทรอยด์ในร่างกายผิดปกติ และนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ เช่น โรคไทรอยด์ระหว่างตั้งครรภ์ได้ ดังนั้นคุณแม่ตั้งครรภ์จึงควรควรได้รับไอโอดีนจำนวน 250 ไมโครกรัม/วัน ไอโอดีนอยู่ในจำพวกอาหารทะเลทุกชนิด ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม กระเทียม หรืองา
7. อาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต
การกินคาร์โบไฮเดรตในปริมาณที่เหมาะสม อาจช่วยลดอาการแพ้ท้องในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ได้ เนื่องจากเป็นสารอาหารที่ย่อยง่าย และให้พลังงานสูง ช่วยลดอาการคลื่นไส้ อย่างไรก็ตาม คนท้องไม่ควรกินคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป เพราะอาจทำให้เสี่ยงเป็นโรคอ้วนระหว่างตั้งครรภ์ได้
8. อาหารที่มีโคลีนอย่างเพียงพอ
โคลีน พบมากในอาหารจำพวกไข่ เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน แซลมอน ไก่ บร็อคโคลี่ กะหล่ำดอก เป็นต้น จัดว่าเป็นอีกหนึ่งสารอาหารสำคัญที่คุณแม่ควรได้รับจากการกินอาหารในแต่ละวัน เพราะโคลีนมีส่วนสำคัญในการบำรุงระบบประสาทและสมอง ช่วยพัฒนาสมองของทารกในครรภ์ การกินอาหารที่ให้สารโคลีนอย่างเพียงพอ หรือประมาณ 450 มิลลิกรัมต่อวันสำหรับแม่ตั้งครรภ์ จะช่วยลดความเสี่ยงของภาวะความบกพร่องที่ระบบท่อประสาทของทารกในครรภ์ได้
9. อาหารที่มีไฟเบอร์สูง
ไฟเบอร์ เป็นหนึ่งในสารอาหารสำคัญที่ไม่ว่าจะเป็นแม่ก่อนคลอด แม่อุ้มท้อง แม่หลังคลอด หรือแม่ให้นมลูกก็ควรได้รับอย่างเพียงพอและสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระหว่างตั้งครรภ์ ควรกินอาหารที่มีไฟเบอร์สูงเป็นประจำ เพราะไฟเบอร์จะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและป้องกันโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ นอกจากนี้ ไฟเบอร์ยังช่วยลดความเสี่ยงของความดันโลหิตสูงและอาจช่วยป้องกันภาวะครรภ์เป็นพิษได้อีกด้วย ซึ่งแม่ตั้งครรภ์ควรได้รับไฟเบอร์ประมาณ 25-35 กรัมในแต่ละวัน โดยสามารถได้ไฟเบอร์จากอาหารจำพวกผักและผลไม้ต่าง ๆ
10. อาหารที่มีโอเมก้า 3
โอเมก้า 3 เป็นสารอาหารสำคัญที่ควรได้รับอย่างเพียงพอ อย่างน้อย 200-300 มิลลิกรัมต่อวันสำหรับแม่ตั้งครรภ์ เพราะโอเมก้า 3 มีส่วนช่วยเสริมสร้างและดูแลสุขภาพหัวใจ ระบบภูมิคุ้มกัน สมอง และดวงตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงไตรมาสที่ 3 ซึ่งเป็นช่วงที่สมองของทารกมีการพัฒนาและเจริญเติบโตสูงสุด มากไปกว่านั้น การได้รับโอเมก้า 3 อย่างเพียงพอขณะตั้งครรภ์ ยังอาจช่วยต่อสู้กับภาวะซึมเศร้าหลังคลอด ควบคุมอารมณ์แปรปรวนที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ และลดความเสี่ยงของการคลอดก่อนกำหนดและน้ำหนักแรกเกิดต่ำอีกด้วย
นอกจากอาหารการกินแล้ว การดื่มนมก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้คุณแม่ได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ โดยนมสำหรับคุณแม่นั้นมีด้วยกันหลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็น:
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพื้นฐานสุขภาพของคุณแม่แต่ละคนนั้นค่อนข้างที่จะแตกต่างกัน คุณแม่บางคนแพ้ทั้งนมวัว และแพ้นมที่ทำมาจากธัญพืชอย่างเช่น นมถั่วเหลือง นมข้าวโอ๊ต นมอัลมอนด์ ทำให้ดื่มนมไม่ได้ ดังนั้น นมสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ จึงเป็นอีกตัวเลือกหนึ่ง เพราะนอกจากจะปลอดภัยจากอาการแพ้ต่าง ๆ แล้ว ก็ยังมีส่วนผสมที่สำคัญต่อการตั้งครรภ์ ดังนี้
Enfa สรุปให้ อาการท้องเสียขณะตั้งครรภ์ เป็นเรื่องปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้ และไม่ส่งผลเสียต่อการต...
อ่านต่อEnfa สรุปให้ ไม่ควรกินโฟลิคพร้อมยาลดกรด (Antacids) เพราะอาจจะขัดขวางการดูดซึมโฟลิคได้ หากจำเป็นต...
อ่านต่อEnfa สรุปให้ คนท้องเบื่ออาหารเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ แต่หากกินอาหารไม่เพียงพอ จะส่งผลกระทบต...
อ่านต่อ