Enfa สรุปให้
โรค G6PD จีซิกพีดี หรือ G6PD Deficiency คือ โรคทางพันธุกรรมชนิดหนึ่ง มีสาเหตุมาจากการที่ร่างกายมีภาวะขาดเอนไซม์ G6PD
เมื่อร่างกายขาดเอนไซม์ G6PD ก็จะทำให้เสี่ยงต่อภาวะเซลล์เม็ดเลือดแดงแตก หากสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงขึ้นใหม่ไม่ทัน ก็จะเสี่ยงต่อภาวะโลหิตจาง
โรค G6PD แม้เป็นโรคทางพันธุกรรมที่รักษาไม่ได้ แต่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต สามารถป้องกันได้ง่าย ๆ โดยการหลีกเลี่ยงอาหารและยาบางชนิด
เลือกอ่านตามหัวข้อ
โรค G6PD จีซิกพีดี เป็นโรคที่คุณพ่อคุณแม่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน เด็กที่เกิดมาพร้อมกับโรคนี้จำเป็นจะต้องได้รับการดูแลและป้องกันไม่ให้รับสารกระตุ้นภูมิแพ้เข้าสู่ร่างกาย เพื่อลดความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตก บทความนี้จาก Enfa จะชวนคุณพ่อคุณแม่มารู้จักกับโรค G6PD ให้มากขึ้นค่ะ
โรค G6PD หรือ G6PD Deficiency คือ โรคทางพันธุกรรมชนิดหนึ่ง มีสาเหตุมาจากร่างกายมีภาวะขาดเอนไซม์ G6PD ซึ่งโรคนี้มักจะถ่ายทอดผ่านจากทางแม่ไปสู่ลูกชาย เพราะผู้หญิงมักจะเป็นพาหะ และผู้ชายมักจะเป็นโรค G6PD
นี่จึงเป็นเป็นเหตุผลที่สำคัญว่าทำไมการตรวจสุขภาพก่อนการแต่งงานหรือวางแผนตั้งครรภ์จึงเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อทั้งคุณพ่อคุณแม่จะได้ทราบว่า ใครมีพาหะความเสี่ยงของโรคอะไรบ้าง แล้วโรคนั้นรักษาได้ไหม ลูกที่เกิดมาจะพ่วงด้วยความเสี่ยงที่เป็นอันตรายหรือเปล่า เพราะบางครั้งคุณพ่อคุณแม่อาจเป็นพาหะของโรคทางพันธุกรรมโดยไม่รู้ตัวค่ะ
เอนไซม์ G6PD หรือ Glucose-6-Phosphate Dehydrogenase จัดว่าเป็นเอนไซม์สำคัญที่เป็นส่วนประกอบของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะเซลล์เม็ดเลือดแดง
เมื่อร่างกายขาดเอนไซม์ G6PD ก็จะมีผลทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตก และในกรณีที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงขึ้นมาใหม่ได้ทัน ก็จะนำไปสู่ภาวะโลหิตจางได้ค่ะ
จริง ๆ แล้วอาหารต้องห้ามของโรค G6PD นั้นมีหลายชนิด แต่ที่พบได้บ่อย ๆ ก็คือ คนที่เป็นโรค G6PD มักจะมารู้ตัวว่าเป็นโรคนี้หลังจากที่กินถั่วปากอ้าเข้าไป
ซึ่งในถั่วปากอ้านั้นอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่สูงมาก โดยเฉพาะถั่วปากอ้าสด ๆ ยิ่งมีปริมาณของสารต้านอนุมูลอิสระสูง
หากกินเข้าไปปจะกระตุ้นทำให้เซลล์เม็ดเลือดแดงแตกได้ ด้วยเหตุนี้เองจึงมักเรียกกันติดปากอย่างง่าย ๆ ว่า โรคแพ้ถั่วปากอ้า
โรค G6PD เกิดจากร่างกายมีภาวะขาดเอนไซม์ G6PD ในเซลล์เม็ดเลือดแดง ซึ่งได้รับพาหะมาจากพ่อหรือแม่ และเมื่อกินอาหารหรือยาที่มีสารกระตุ้นต่อเซลล์เม็ดเลือดแดง ก็เสี่ยงที่จะทำให้เซลล์เม็ดเลือดแดงแตกได้
โรค G6PD อาการโดยทั่วไปที่สามารถพบได้ มีดังนี้
ตัวเหลือง ตัวซีด
ตาเหลือง
อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
ปวดศีรษะบ่อย
ตับหรือม้ามโต
ปัสาวะมีสีออกคล้ำเข้ม คล้ายกับสีของน้ำอัดลมหรือน้ำปลา
แล้วถ้าลูกเป็นโรคจีซิกพีดีห้ามกินอะไรบ้างล่ะ?
สำหรับเด็กที่ได้รับวินิจฉัยว่าเป็นโรค G6PD คุณพ่อคุณแม่ควรจะต้องระมัดระวังการกินอาหารและยาที่เสี่ยงจะทำให้เซลล์เม็ดเลือดแดงแตก ซึ่งอาหารและยาเหล่านั้นสามารถพบได้ในชีวิตประจำวันของเรา จึงจำเป็นที่จะต้องใส่ใจให้มากเป็นพิเศษค่ะ
อาหารที่ผู้ป่วยโรค G6PD ควรจะต้องหลีกเลี่ยงให้ดี คือ
ถั่วปากอ้า
เชอร์รี
บลูเบอร์รี
โยเกิร์ตที่มีส่วนผสมของถั่ว
ไวน์แดง
อาหารเหล่านี้สามารถกระตุ้นให้เซลล์เม็ดเลือดแดงแตกได้ หากได้รับเข้าสู่ร่างกายในปริมาณมาก ๆ
โรค G6PD แพ้ยาอะไรบ้าง?
ผู้ที่เป็นโรค G6PD จะต้องระมัดระวังยากลุ่ม NSAIDs บางชนิด เช่น ยาแอสไพริน และยาปฏิชีวนะบางชนิด เช่น ยากลุ่มซัลฟา หรือไนโตรฟูแรนโทอิน เป็นต้น หรือยาต้านมาลาเรียบางชนิดอย่าง ควินิน หรือควินิดีน เป็นต้น ยาเหล่านี้มีความเสี่ยงที่จะทำให้เซลล์เม็ดเลือดแดงแตกได้ค่ะ
นอกจากนี้ยังจำเป็นจะต้องหลีกเลี่ยงสารเคมีจำพวก การบูร ลูกเหม็น เมนทอล และสารหนู เพราะหากสูดดมหรือได้รับเข้าสู่ร่างกายมาก ๆ เข้า ก็จะเสี่ยงทำให้เซลล์เม็ดเลือดแดงแตกได้
โรค G6PD ไม่ถึงกับเป็นโรคที่อันตรายจนต้องหวาดระแวงค่ะ การหลีกเลี่ยงสารกระตุ้นภูมิแพ้ที่จำเป็น สามารถช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์เม็ดเลือดแดงแตกได้
นอกเหนือไปจากนั้นแล้ว อาการของโรค G6PD ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันในระดับรุนแรงแต่อย่างใดค่ะ
เด็กที่เป็นโรค G6PD สามารถที่จะเติบโตอย่างแข็งแรง ทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ และมีโอกาสประสบความสำเร็จในชีวิตได้เหมือนกับคนอื่น ๆ ด้วย โดยที่โรค G6PD ไม่ได้เป็นตัวขัดขวางพัฒนาการและการเจริญเติบโตของเด็ก
โรค G6PD เป็นโรคที่เกิดจากพันธุกรรม จึงไม่สามารถที่จะรักษาให้หายขาดได้ แต่การดูแลหลีกเลี่ยงไม่ให้ร่างกายได้รับสารกระตุ้น สามารถป้องกันไม่ให้เกิดความเสี่ยงของภาวะเซลล์เม็ดเลือดแดงแตกได้ค่ะ
เมื่อได้รับการตรวจวินิจฉัยว่าลูกเป็นโรค G6PD แน่นอนว่าโรคนี้รักษาให้หายขาดไม่ได้
แต่คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องเป็นกังวลไปค่ะ โรคนี้ไม่ได้อันตรายถึงชีวิต หลังจากที่ทราบการวินิจฉัยแล้ว สิ่งสำคัญที่ต้องทำคือการป้องกันไม่ให้ลูกได้รับสารกระตุ้นเช้าสู่ร่างกาย ก็จะช่วยลดความเสี่ยงของเซลล์เม็ดเลือดแดงแตก และลดความเสี่ยงของภาวะโลหิตจางได้แล้วค่ะ
เด็กที่เป็นโรค G6PD สามารถใช้มหาหิงค์ได้ค่ะ แต่...ต้องดูให้ดีก่อนนะคะ ว่ามหาหิงค์รุ่นนั้นมีส่วนประกอบที่เป็นสารกระตุ้นต่อเซลล์เม็ดเลือดแดงหรือเปล่า
ควรเลือกใช้มหาหิงค์ที่มีฉลากกำกับว่า G6PD สามารถใช้ได้ จึงจะปลอดภัยที่สุดค่ะ
เด็กที่เป็นโรค G6PD สามารถกินนมแม่ได้ตามปกติค่ะ
แต่...คุณแม่จะต้องหลีกเลี่ยงอาหารและยากลุ่มที่จะส่งผลต่ออาการของโรค G6PD เพราะอาหารและยาที่คุณแม่กินเข้าไปนั้น สามารถส่งผลทางน้ำนมไปยังทารกได้ค่ะ
เด็กที่เป็นโรค G6PD สามารถทาวิคได้ค่ะ
แต่...อาจจะต้องคอยสังเกตอาการหลังจากการใช้งานด้วยว่า ลูกมีความผิดปกติหรือไม่ หากลูกมีปัสสาวะสีเข้มคล้ำ หรือเริ่มมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ควรหยุดใช้ และพาลูกไปพบแพทย์ทันที
สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ได้รับการตรวจวินิจฉัยว่ามีพาหะของโรค G6PD สามารถมีลูกได้ตามปกติค่ะ
เนื่องจากโรค G6PD แม้ว่าจะเป็นโรคทางพันธุกรรม แต่...ไม่ใช่โรคที่อันตรายถึงแก่ชีวิตค่ะ เด็กที่เป็นโรค G6PD สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแรง สมบูรณ์ และสมวัย หากได้รับการป้องกันและหลีกเลี่ยงสารกระตุ้นจากอาหารและยาเป็นอย่างดี
Enfa สรุปให้ อาการนอนกรนในเด็ก แม้จะเกิดขึ้นได้ไม่บ่อยเหมือนกับผู้ใหญ่ แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้กั...
อ่านต่อEnfa สรุปให้ โรค G6PD จีซิกพีดี หรือ G6PD Deficiency คือ โรคทางพันธุกรรมชนิดหนึ่ง มีสาเหตุมาจาก...
อ่านต่อEnfa สรุปให้ อาการแพ้ถั่ว เป็นอาการแพ้อาหารที่พบได้ตั้งแต่ในเด็ก แล...
อ่านต่อ