Enfa สรุปให้
เลือกอ่านตามหัวข้อ
“การตั้งครรภ์” เป็นช่วงเวลามหัศจรรย์ของคุณแม่อย่างมาก เพราะมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและอารมณ์หลายอย่าง เช่น การดิ้นของทารก อาการสะอึกของทารก หน้าท้องที่ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ
อารมณ์ที่อ่อนไหวง่ายเป็นพิเศษเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน และบางอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน เช่น น้ำนมคนท้อง หรือการที่คุณแม่มีน้ำนมไหลออกมาในช่วงตั้งครรภ์ ซึ่งหมายถึงความพร้อมที่จะเป็นแม่แล้วนั่นเอง...
“น้ำนมคนท้อง” หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า โคลอสตรุ้ม (Colostrum) หรือน้ำนมเหลือง เป็นน้ำนมชนิดแรกที่ร่างกายคุณแม่ผลิตออกมาเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเลี้ยงทารก โดยจะมีลักษณะเป็นสีเหลืองข้น มีปริมาณเพียงเล็กน้อยแต่มีคุณค่าทางอาหารสูง มีความจำเป็นสำหรับลูกน้อยในการสร้างภูมิต้านทานตั้งแต่แรกเกิด
โดยปกติแล้วร่างกายคุณแม่ตั้งครรภ์เมื่ออายุครรภ์ประมาณ 4 เดือนเป็นต้นไป ต่อมน้ำนมจะเริ่มสร้างน้ำคัดหลั่งสีใสขุ่น ยังไม่เป็นสีน้ำนม ซึ่งน้ำคัดหลั่งนี้จะมีสารภูมิต้านทาน เซลล์เม็ดเลือด และไขมัน
จากนั้นเมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ได้ประมาณ 6 เดือน ต่อมน้ำนมจะขยายตัวขึ้น มีเลือดมาเลี้ยงมาขึ้นจนเห็นเป็นเส้นเลือดดำใต้ผิวหนัง ท่อน้ำนมหนาขึ้น เตรียมความพร้อมสำหรับให้นมลูก หากบีบหัวนมช่วงนี้อาจมีน้ำขุ่น ๆ ไหลออกมา หรือที่เรียกว่า “น้ำนมคนท้อง” นั่นเอง
เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ในช่วงสัปดาห์ที่ 12 และ 16 เต้านมจะเริ่มผลิตน้ำนมเหลือง และในระหว่างนี้อาจมีน้ำใส ๆ ไหลออกมาจากเต้าขณะตั้งครรภ์ได้ โดยมีลักษณะเป็นน้ำใส ๆ หรือคล้ายเจลไหลออกมาเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย
กระทั่งถึงช่วงปลายของการตั้งครรภ์หรือเข้าสู่ไตรมาสที่ 3 อาจมีน้ำนมคนท้องสีเหลืองข้นไหลออกมาเองหรือไหลเมื่อบีบหัวนมเบา ๆ เนื่องจากธรรมชาติกำลังกระตุ้นให้ร่างกายเตรียมความพร้อมสำหรับการคลอดและให้นมลูก
ทั้งนี้ คุณแม่ตั้งครรภ์บางคนอาจไม่พบน้ำนมคนท้องเลย ซึ่งไม่ได้เป็นเรื่องผิดปกติ เพราะเมื่อคลอดลูกแล้ว ร่างกายจะเริ่มผลิตน้ำนมโดยน้ำนมช่วงแรกก็คือน้ำนมเหลืองที่ร่างกายสร้างไว้แล้วนี่เอง
โดยในช่วงแรกคลอด น้ำนมคนท้องหรือน้ำนมเหลืองนี้จะไหลออกมาประมาณ 2-3 วัน เป็นที่รู้กันดีว่าทารกควรได้รับน้ำนมคนท้องเป็นอาหารมื้อแรก เนื่องจากเป็นสารที่อุดมด้วยวิตามิน ภูมิต้านทาน และไขมัน และหลังจากนั้นหากทารกได้ดูดนมสม่ำเสมอ เต้านมก็จะเริ่มผลิตน้ำนมขึ้นมาแทน
หากคุณแม่มีน้ำเหลืองใสออกจากเต้านม ควรสังเกตให้แน่ชัดว่าลักษณะเป็นอย่างไร เช่น เป็นน้ำเหลืองใสหรือของเหลวใส เป็นคราบเหลืองหรือน้ำนมเหลือง ๆ แห้งติดหัวนม มีปริมาณมาก-น้อยอย่างไร หากเป็นลักษณะดังที่กล่าวมานี้ อาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ฮอร์โมนโปรแลคติน (Prolactin) ที่กระตุ้นการผลิตน้ำนม ซึ่งเป็นเรื่องปกติ
แต่หากน้ำเหลืองใสนั้นมีกลิ่นผิดปกติ มีปริมาณมากเกินไป มีเลือดหรือหนองปน ควรปรึกษาแพทย์ เพราะอาจเกิดจากความผิดปกติอื่น เช่น ท่อน้ำนมมีปัญหา
ทั้งนี้ การที่คุณแม่ตั้งครรภ์มีน้ำเหลืองใสหรือน้ำนมคนท้องไหลออกมาน้อยหรือไม่มีเลย ไม่ได้หมายความว่าคุณแม่จะไม่มีน้ำนมให้ลูกกิน สาเหตุเป็นเพราะร่างกายคนเราแตกต่างกัน แต่เมื่อคลอดลูกแล้วร่างกายจะเริ่มผลิตน้ำนมขึ้นมาเอง และผลิตได้เพียงพอต่อความต้องการลูกอย่างแน่นอน
เมื่อคุณแม่ท้องเข้าสู่ไตรมาสที่ 3 ร่างกายจะเตรียมพร้อมสำหรับการคลอดโดยกระตุ้นต่อมน้ำนมให้เริ่มเตรียมผลิตน้ำนม ทำให้เริ่มมีอาการคัดเต้า แต่หากคุณแม่ท้อง 8 เดือน ไม่คัดเต้าเลย ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นความผิดปกติแต่อย่างใดค่ะ
เนื่องจากร่างกายคนเราไม่เหมือนกัน ระดับฮอร์โมนและการตอบสนองของร่างกายก็ต่างกันไปด้วย ทำให้คุณแม่บางคนอาจเริ่มคัดเต้าตั้งแต่ไตรมาสแรก ขณะที่บางคนท้อง 8 เดือนก็ไม่มีอาการคัดเต้าเลยกระทั่งคลอด
สาเหตุสำคัญของการไม่คัดเต้าอย่างหนึ่งคือ ความเครียด และความวิตกกังวล เช่น กังวลเกี่ยวกับการคลอด การเลี้ยงดูลูก การลางาน เป็นต้น ทำให้ระดับฮอร์โมนในร่างกายแปรปรวน โดยสาเหตุนี้ยังเป็นต้นเหตุที่ทำให้คุณแม่น้ำนมน้อยหลังคลอดได้ด้วย
ดังนั้น ระหว่างตั้งครรภ์ตลอดจนหลังคลอด คุณแม่ควรดูแลรักษาสุขภาพร่างกายและจิตใจให้แข็งแรง ผ่อนคลายความตึงเครียด เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อร่างกาย นอกจากนี้ หากคุณแม่พบความผิดปกติอื่นร่วมด้วย เช่น เต้านมไม่ขยายใหญ่ขึ้นเลย หัวนมผิดปกติ เช่น หัวนมบุ๋ม หัวนมบอด ควรปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำ
คนท้องสามารถกินน้ำหัวปลีได้ เพื่อช่วยบำรุงร่างกายและเตรียมความพร้อมร่างกายสำหรับให้นมบุตร แต่อย่างไรก็ตาม ควรเลือกกินหัวปลีที่ปลอดสารเคมี หรือเลือกผลิตภัณฑ์น้ำหัวปลีที่ปราศจากสารกันบูด
เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าน้ำหัวปลีช่วยกระตุ้นน้ำนมได้ โดยหัวปลีหรือน้ำหัวปลีนั้นมีสารอาหารสำคัญ เช่น ธาตุเหล็ก แคลเซียม และวิตามินหลายชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกายคุณแม่ ดังนั้น คนท้องจึงสามารถกินน้ำหัวปลีได้
นอกจากนี้ การกินหัวปลีสดหรือน้ำหัวปลีเป็นประจำสม่ำเสมอยังมีประโยชน์สำหรับคนท้องอีกคือ ช่วยกระตุ้นฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ทำให้มดลูกขยายตัวได้ดีขึ้นในช่วงใกล้คลอด ลดโอกาสการเกิดภาวะแท้งคุกคาม ลดความเสี่ยงการคลอดก่อนกำหนด และช่วยให้มดลูกหดตัวดีขึ้นหลังคลอด ลดความเสี่ยงของการตกเลือดหลังคลอดด้วย
คุณแม่ท้องสามารถเริ่มกินน้ำหัวปลีได้ตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในช่วงใกล้คลอด เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายผลิตน้ำนม รวมถึงช่วยกระตุ้นการสร้างฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่ทำให้มดลูกขยายตัวได้ดีขึ้นในช่วงใกล้คลอด และช่วยให้มดลูกหดตัวดีขึ้นในช่วงหลังคลอด
ทั้งนี้ หากคุณแม่รับประทานหัวปลีสดเป็นประจำในมื้ออาหารควรเลือกที่สะอาด ปลอดสารเคมี แต่หากเป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปอื่น ๆ เช่น น้ำสกัด หรือในรูปของวิตามินอาหารเสริม ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน ไม่ผสมสารกันบูด และควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้อาหารเสริมใด ๆ เพื่อความปลอดภัยของคุณแม่และลูกน้อย
น้ำนมที่ร่างกายผลิตขึ้นในระยะ 1-3 วันแรกหลังคลอด เรียกว่า “น้ำนมเหลือง” (Colostrum) ถือเป็นน้ำนมส่วนที่ดีที่สุด เพราะมีภูมิคุ้มกันสูง เปรียบเสมือนวัคซีนธรรมชาติจากอกแม่ รวมทั้งมี “แลคโตเฟอร์ริน” สารอาหารสำคัญในนมน้ำเหลือง ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน และลดความเสี่ยงในการเจ็บป่วย
ปัจจุบันหลายองค์กรทั่วโลก เช่น American Academy of Pediatrics (AAP) และ American College of Obstetricians and Gynecologists แนะนำให้ทารกดื่มแต่นมแม่ต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือน โดยแนะนำว่าให้ลูกเริ่มดื่มนมแม่ภายใน 1 ชั่วโมงหลังคลอด เพื่อที่จะได้ไม่พลาดการรับ “วัคซีนแรก” หรือ “น้ำนมเหลือง” ในน้ำนมแม่ ซึ่งจะอยู่ในระยะน้ำนม 4-7 วันหลังคลอดเท่านั้น
Enfa สรุปให้ น้ำนมคนท้อง หรือน้ำนมเหลือง เป็นสารอาหารสำคัญที่มีประโยชน์ต่อลูกน้อยวัยแรกเกิดอย่าง...
อ่านต่อEnfa สรุปให้ วิตามินซีอยู่ในอาหารการกินในชีวิตประจำวันของเด็ก ๆ อยู่แล้ว ทั้งในผ...
อ่านต่อEnfa สรุปให้: ระบบภูมิคุ้มกัน เป็นระบบหนึ่งที่สำคัญของร่างกาย ที่ในช่วง 3 เดือนก่อนคลอด ภูมิคุ้...
อ่านต่อ