ท่ามกลางผืนป่าสีทองอันแสนจะกว้างใหญ่ บรรดาสัตว์ต่างๆต่างอาศัยร่วมกันอย่างมีความสุข ที่เนินเขาสีแดงที่ถูกล้อมไปด้วยทุ่งหญ้า ราชสีห์ผู้เป็นราชาแห่งผืนป่าตัวหนึ่งกำลังนอนกลางวันอย่างสบายอารมณ์ มันเหยียดขาแล้วก็เอาตัวแนบพื้นก่อนที่จะกรนเบา ๆ
บ่ายวันเดียวกันนั่นเอง เจ้าหนูตัวกลมตัวหนึ่งก็กำลังเร่งรีบที่จะกลับบ้าน เพราะว่ามันน่ะออกมาเที่ยวเล่นตั้งแต่เช้าแล้ว พงหญ้าสีทองที่สูงท่วมหัวทำให้เจ้าหนูตัวกลมต้องเดินผ่านทุ่งหญ้าด้วยความเหน็ดเหนื่อย เพราะต้องแหวกกอหญ้าสูงไปตลอดทาง
(ฟันฉันแข็ง ขมเหมือนขวาน แทะๆๆ กัน แทะๆ ได้ทุกอย่าง
เกือบจะเย็นอยู่แล้ว เจ้าหนูตัวกลมยังไปไม่ถึงไหนเลย มันจึงเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น หวังว่าจะผ่านทุ่งหญ้าให้กลับถึงบ้านได้โดยเร็ว มันเดินข้ามพงทุ่งหญ้าที่สูงท่วมหัว จนมาถึงพงหญ้าที่เตี้ยลงกว่าเดิม
แต่เอ๊ะ ทำไมมันดูหนาแน่นกว่าเดิมมาก เจ้าหนูยังไม่แน่ใจ มันตะเกียกตะกายๆ ผ่านกอหญ้านั้นไปโดยเร็ว แต่กอหญ้านั้นก็หนาแน่นจนเจ้าหนูต้องบ่นออกมาว่า
“อื้ออออ เจ้ากอหญ้านี่มันหนาจริงๆเลย แต่เอ๊ะ ทำไมพื้นที่ตรงนี้มันนุ่มๆๆๆ เนี่ย ดูสิเนี่ยๆ” หนูพยายามเอาเท้าย่ำลงไปบนพื้นแรงๆ ให้หายสงสัย แต่ยิ่งย่ำแรงพื้นก็ยิ่งขยับจนยืนไม่ติด
“เย้ยยยยยย อะไรๆๆ อะไรกันเนี่ย” พื้นขยับเอียงจนเจ้าหนูตัวกลมกลิ้งตกลงบนพื้นดินสีแดงจนฝุ่นตลบ
“ทะ ทะ ทะ ทะ ทะ ท่านราชสีห์” ที่แท้แล้วทุ่งหญ้าที่กลิ้งตกลงมาก็คือขนแผงคอของเจ้าราชสีห์ที่กำลังนอนหลับสบายอยู่นั่นเอง ราชสีห์ตื่นขึ้นมาด้วยความหงุดหงิด ร้องคำรามเสียงดังสนั่นลั่นป่าและเอ่ยออกมาอย่างเกรี้ยวกราดว่า
“ใคร ใครกันบังอาจมารบกวนเวลานอนกลางวันของข้า”
(เจ้าหนูตัวน้อย ตัวกระจ้อย รู้มั้ยฉันคือใคร ฉันคือราชสีห์ผู้ยิ่งใหญ่ เจ้าแห่งป่าดงพงไพร (เสียงคำราม))
พูดจบราชสีห์ก็ใช้อุ้งเท้าพร้อมกรงเล็บอันใหญ่ตบลงบนตัวเจ้าหนูตัวกลมนั้น กรงเล็บอันใหญ่กลายเป็นซี่กรงขังที่ขังเจ้าหนูตัวกลมไว้ใต้อุ้งเท้าของราชสีห์
“เจ้านี่เองเหรอที่บังอาจมารบกวนการนอนของข้า” เจ้าหนูยกมือขึ้นพนม ตาโต ตัวสั่นระริก ตกใจ หน้าซีดขาวจนแทบจะกลายเป็นหนูทดลอง ราชสีห์เห็นเจ้าหนูกลัวตัวสั่นแต่ก็ยังตะคอกต่อด้วยเสียงที่ดังอีกว่า
“ให้ข้ากินเป็นอาหารว่างซะดีมั้ยเนี่ย ตัวเล็กอย่างเจ้าเนี่ยข้ากินได้ทีละหลายตัวเลยแหละ” ราชสีห์พูดจบแล้วก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้กรงเล็บที่ขังเจ้าหนูตัวกลมไว้ จนลมหายใจของราชสีห์พัดเอาหูของเจ้าหนูลู่ไปตามแรงลม เจ้าหนูตัวกลมอ้อนวอนด้วยสีหน้าและน้ำเสียงสั่นเครือว่า
“ท่านราชสีห์ โปรดไว้ชีวิตข้าเถิดนะ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะรบกวนท่านเลย ข้าเพียงแต่จะรีบเดินจนไม่ทันได้ระวัง ตัวข้าก็เล็กๆแค่นี้ ท่านราชสีห์กินเข้าไปก็ไม่อิ่มหรอก สู้ปล่อยข้าออกไปดีกว่า วันหนึ่งข้าอาจจะเป็นประโยชน์ต่อท่านก็ได้นะ”
ราชสีห์ได้ฟังเจ้าหนูตัวกลมพูดก็หัวเราะจนเสียงดังลั่นป่า ดังกว่าตอนที่คำรามครั้งแรกซะอีก
“เหอะ ๆๆ โอ๊ย เจ้าเนี่ยนะจะมาทำอะไรให้ข้าได้ เจ้ากระติ๊ดริ๊ดเท่านี้ เหอะๆๆ” ราชสีห์พูดไปหัวเราะไปด้วยความขบขันในคำพูดของเจ้าหนู
“แต่เอาล่ะๆ อันที่จริงตอนนี้ข้าก็เพิ่งอิ่มไป นับว่าเจ้าโชคดีละกัน เอา ไปๆๆๆ ข้าจะปล่อยเจ้าไป รีบไปให้พ้นๆ ข้า”
“โอ้ว ขอบคุณ ขอบคุณท่านราชสีห์มาก รับรองท่านจะไม่ผิดหวังที่ปล่อยข้าไป” หนูขอบคุณราชสีห์ครั้งแล้วครั้งเล่า จนราชสีห์ล้มตัวนอนเช่นเดิม เจ้าหนูตัวกลมจึงรีบตั้งหน้าตั้งตาวิ่งกลับบ้านอย่างรวดเร็ว
เวลาผ่านไปอย่างอ้อยอิ่งในป่าสีทองแห่งนี้ จนกระทั่งวันหนึ่งบนเนินเขาสีแดงแห่งเดิม ราชสีห์ค่อยๆเดินลงมาสู่ทุ่งหญ้าอย่างสุขุม เช้านี้มันตื่นมาด้วยความหิว ซ้ำได้กลิ่นเนื้อสดอันโอชะโชยมาตามลม ยิ่งเพิ่มอาการหิวให้รุนแรงจนท้องร้องจ๊อกๆ เจ้าป่าผู้ยิ่งใหญ่ต้องเยื้องย่างลงมาเดินตามกลิ่นด้วยความหิว ห่างไปไม่เท่าไหร่ ต้นตอของกลิ่นหอมอันโอชะนั้นก็ปรากฎตัวขึ้น มันเป็นก้อนเนื้อสุกก้อนใหญ่วางอยู่บนลานกว้างแห่งนั้น ราชสีห์เห็นก็ไม่รอช้า พุ่งกระโดดเข้าหอห้อนเนื้อชิ้นนั้นด้วยความหิวในทันที เพียงแค่รสสัมผัสแรกเมื่อราชสีห์ฝังเขี้ยวลงบนก้อนเนื้อ เสียงลั่นกราวของกิ่งไม้ก็ดังขึ้น ด้วยสัญชาตญาณของเจ้าป่า ราชสีห์รู้ตัวในทันทีว่าบัดนี้เจ้าป่าเสียท่าซะแล้ว
ไม่ทันจะได้ขยับตัว ตาข่ายผืนใหญ่ก็ร่วงลงมาคลุมร่างราชสีห์ไว้ เจ้าป่าพยายามดิ้นรนเพื่อจะหาช่องทารงรอด แต่ยิ่งดิ้นตาข่ายก็ยิ่งพันร่างจนแน่นหนาขึ้น ราชสีห์ไม่อาจทำอะไรได้นอกจากคำรามเสียงดังลั่นป่า
ที่โคนต้นไม้ใกล้ๆ กันนั้น เจ้าหนูตัวกลมกำลังเดินเล่นอยู่ เมื่อได้ยินเสียงราชสีห์คำราม มันรู้ในทันทีเลยว่าเวลาแห่งการตอบแทนบุญคุณมาถึงแล้ว
เจ้าหนูรีบวิ่งไปที่ต้นเสียงนั้นทันที มันวิ่งมาถึงข้างตัวราชสีห์ และเหมือนราชสีห์จะจำเจ้าหนูตัวกลมได้ มันเลยพยายามไม่สบตา คล้ายๆว่าจะอาย แต่เจ้าหนูตัวกลมก็เหมือนจะรู้ทันจึงรีบพูดตัดบทและปลอบใจไปว่า
“เอ่อ เออ เอาเหอะน่าๆ นะ ไม่ต้องอายไปหรอก เดี๋ยวข้าจะลองดูก่อนว่าข้าจะทำอะไรให้ท่านได้บ้างละกัน”
ไม่มีเสียงตอบใดๆ จากราชสีห์ มันมองดูเจ้าหนูตัวกลมด้วยสายตาที่ลดความดุดันลงไปมาก เปลี่ยนเป็นสายตาของความเอื้ออารีอย่างที่มันกำลังจะได้รับจากเจ้าหนูในขณะนี้
“เอ่อ เอ่อ ช่วยรบกวนอยู่นิ่งๆ นิดหนึ่งน้า แปปเดียวๆ” ว่าแล้วเจ้าหนูตัวกลมก็ใช้ฟันอันแหลมคมแทะตะข่ายผื่นนั้น มันแทะไปๆๆ จนทั่วตาข่าย ราชสีห์คันยุกยิกๆไปทั้งตัว เจ้าหนูตัวกลมถึงกลับจะต้องเอ่ยปากว่า
“จุ๊ๆๆ อยู่นิ่งๆ เดี๋ยวนายพรานก็จะมาแล้ว ข้าช่วยไม่ได้นา” จริงอย่างที่เจ้าหนูพูด ไม่ไกลจากตรงนั้นเอง นายพรานป่ากำลังเดินถือปืนมุ่งหน้ามาทางนี้อย่างรวดเร็ว เสียงฝูงสัตว์แตกตื่นวิ่งหนีได้ยินมาแต่ไกล เจ้าหนูรีบแทะตาข่ายเป็นการใหญ่
เสียงพรานป่ากำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แต่เจ้าหนูตัวกลมก็ยังตั้งหน้าตั้งตาแทะตาข่ายอย่างตั้งใจ ในที่สุดตาข่ายก็ขาดทันเวลาเป็นรูกว้างพอดี ทำให้ราชสีห์สลัดตัวหลุดออกมาได้ มันคำรามเสียงดังสนั่นป่าจนหยุดนายพรานไว้ไม่ให้ก้างล่วงเข้ามาใกล้ไปมากกว่านี้
เจ้าป่าผู้โชคร้ายกลายเป็นดีกล่าวขอบคุณในความช่วยเหลือของเจ้าหนูในครั้งนี้ เจ้าหนูเอ่ยตอบกลับราชสีห์ว่า
“ท่านก็เคยไว้ชีวิตข้านี่ ข้าก็ทำตามที่ข้าบอกแล้วว่าข้าจะมีประโยชน์ต่อท่านในวันหนึ่ง เห็นมั้ยล่ะ”
ราชสีห์ก้มหัวลงเล็กน้อยก่อนจะหันหลังออกไปที่โขดหินสีแดงอย่างสุขุมเช่นเคย ส่วนเจ้าหนูตัวอ้วนก็เดินยืดอกกลับบ้านอย่างผู้กล้าหาญ
(มองเป็นยีราฟ มองเป็นดอกไม้ มองเป็นรถเป็นเรือ มองดูเป็นสาย ลอยไปเป็นฟ้า ลอยไปให้ถึงที่ใด เมฆที่ลอยอยู่บนฟ้า เธอมองเห็นเป็นอะไร เมฆที่ลอยอยู่สูงกว่าใคร ฉันมองดูคล้ายสิงโต นั่นเมฆหนูลอยอยู่บนฟ้า เธอมองเห็นเป็นยังไง มองเป็นหนูกล้าหาญกว่าใคร หรือมองเป็นหนูธรรมดา)
(มองเป็นยีราฟ มองเป็นดอกไม้ มองเป็นรถเป็นเรือ มองดูเป็นสาย ลอยไปเป็นฟ้า ลอยไปให้ถึงที่ใด มองเป็นถนน มองเป็นไฟฉาย มองเป็นใบไม้หลายใบ มองเป็นรองเท้า มองเป็นมือถือ มองเป็นกระสือหัวโต มองเป็นยีราฟ มองเป็นดอกไม้ มองเป็นรถเป็นเรือ มองดูเป็นสาย ลอยไปเป็นฟ้า ลอยไปให้ถึงที่ใด มองเป็นถนน มองเป็นไฟฉาย มองเป็นใบไม้หลายใบ มองเป็นรองเท้า มองเป็นมือถือ มองเป็นกระสือหัวโต)
ณ นครสุขสร้างสรรค์ มีหญิงชราคนหนึ่ง นั่งอยู่ที่ประตูเมือง คอยเฝ้ามองดูนักเดินทางที่ผ่านเข้าออกอย่...
อ่านต่อกาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีบัณฑิตผู้ยากจนคนหนึ่ง เขาคือเด็กหนุ่มผู้มีสติปัญญามาก เป็นทั้งนักกวีแถมย...
อ่านต่อจะมีใครสามารถอธิบายตัวตนที่แท้จริงของฉันได้บ้าง หลายคนพยายามหาคำตอบ ค้นคำอธิบาย แต่ก็ต้องล้มเหลวไ...
อ่านต่อ