Enfa สรุปให้
เลือกอ่านตามหัวข้อ
ทารกในครรภ์มีการเปลี่ยนแปลงท่าทางอยู่เสมอ เพื่อปรับอิริยาบถให้อยู่ในท่าที่รู้สึกสบาย และสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ แม้ว่าพื้นที่ภายในมดลูกจะไม่ได้กว้างขวางมากนักก็ตาม บทความนี้จาก Enfa จะพาคุณพ่อคุณแม่มาทำความรู้จักกับ ท่าทารกในครรภ์ ในแต่ละช่วงอายุครรภ์ มาดูกันว่า ทารกในครรภ์มีท่าทางอย่างไร และท่าทารกแบบไหนที่อาจเป็นสัญญาณของความผิดปกติ
ท่าทารกในครรภ์นั้น จะสามารถตรวจพบได้ผ่านการอัลตราซาวนด์ ซึ่งจะสามารถอัลตราซาวนด์เห็นทารกตัวเต็มวัยที่ไม่ใช่ตัวอ่อนได้ ก็จะต้องตั้งครรภ์อยู่ในช่วงกลางไตรมาสที่ 2 เป็นต้นไป เพราะเป็นช่วงที่ทารกเริ่มมีการเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงท่าทาง หรืออยู่ในช่วงที่คุณแม่จะสัมผัสได้ถึงการดิ้นของทารกนั่นเอง
ซึ่งการเคลื่อนไหวท่าทางของทารกในครรภ์ในช่วงไตรมาส 2-3 นั้น ก็จะมีตั้งแต่การกลับหัว การพลิกตัว การหันหลัง การนอนแนวขวาง เบี่ยงตัวออกซ้ายหรือขวา สลับสับเปลี่ยนกันไปค่ะ เพราะมีพื้นที่ภายในมดลูกให้ลูกสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ
อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงไตรมาสสุดท้าย ตั้งแต่อายุครรภ์สัปดาห์ที่ 36 เป็นต้นไป ทารกส่วนใหญ่จะเริ่มอยู่ในท่าเดียวกันคือจะค่อย ๆ เริ่มหันศีรษะลงสู่อุ้งเชิงกราน เพื่อเตรียมพร้อมที่จะคลอด และจะไม่เปลี่ยนท่าอีกแล้ว เพราะพื้นที่ภายในมดลูกไม่เพียงพอต่อการเคลื่อนไหวไปมาอีกต่อไป
ซึ่งหากทารกยังไม่อยู่ในท่าเตรียมคลอด แพทย์อาจช่วยกระตุ้นเพื่อให้ทารกกลับมาอยู่ในท่าทางที่เหมาะสม เพื่อให้คุณแม่สามารถคลอดธรรมชาติได้ง่าย ลดความเสี่ยงต่อการผ่าคลอดค่ะ
โดยทั่วไปแล้วคุณพ่อคุณแม่สามารถทราบได้ว่าทารกกำลังเคลื่อนไหวเปลี่ยนท่าทางได้ผ่านการดิ้นของลูก เวลาที่คุณแม่สัมผัสได้ว่าลูกดิ้น หรือคุณพ่อเห็นการเคลื่อนไหวเล็ก ๆ บริเวณหน้าท้องของคุณแม่ นั่นแหละค่ะทารกกำลังเคลื่อนตัวปรับเปลี่ยนอิริยาบถ
อย่างไรก็ตาม ท่าของทารกในครรภ์ ไม่สามารถมองเห็นได้จากภายนอก เนื่องจากมดลูกและหน้าท้องบดบังการมองเห็นโดยตรง แต่คุณพ่อคุณแม่สามารถเห็นท่าทางของทารกได้อย่างชัดเจนผ่าน การอัลตราซาวนด์ ทั้งทางหน้าท้องหรือทางช่องคลอด ซึ่งนอกจากจะเผยให้เห็นท่าของทารกในครรภ์แล้ว ก็ยังช่วยให้แพทย์ประเมินพัฒนาการและสุขภาพของลูกน้อยในครรภ์ได้อีกด้วย
ท่าทารกในครรภ์ผิดปกติ ส่วนใหญ่จะหมายถึงการที่ทารกไม่ยอมกลับหัวลงอุ้งเชิงกรานเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการคลอด เช่น ทารกอยู่ในท่าขวาง ลำตัวตั้งฉากกับคุณแม่ หรือ หันก้นลงสู่อุ้งเชิงกราน ท่าเหล่านี้ถือว่าผิดปกติ และเพิ่มความเสี่ยงต่อการคลอดยาก หรืออาจต้องมีการผ่าคลอด
ส่วนสาเหตุที่ว่าทำไมลูกน้อยจึงอยู่ในท่าผิดปกติ ก็ต้องยอมรับว่าเราไม่อาจทราบสาเหตุที่แน่ชัดได้ เพราะอาจเกิดได้จากหลากหลายปัจจัยที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น
ท่าของทารกในครรภ์ สามารถบ่งบอกถึงแนวโน้มความยากง่ายในการคลอดได้ ดังนี้
หากทารกอยู่ในท่าที่เอาศีรษะลงอุ้งเชิงกราน ถือว่าเป็นท่าเตรียมคลอดที่ปกติ สามารถคลอดง่าย แต่ก็ไม่เสมอไป ขึ้นอยู่กับลักษณะของศีรษะทารกที่หันลง เพราะในบางกรณีอาจทำให้การคลอดยากขึ้น และอาจจำเป็นต้องผ่าคลอด
ท่าในกลุ่มของ Breech Presentation ซึ่งเป็นท่าที่หันก้นหรืออวัยอวะอุ้งเชิงกรานลงสู่อุ้งเชิงกรานนี้ มีความเสี่ยงทำให้คลอดยากทั้งหมด และอาจต้องมีการผ่าคลอดเพื่อลดความเจ็บปวด และย่นระยะเวลาในการคลอดให้น้อยลง
ท่าทารกในครรภ์ในลักษณะที่ทารกเอาหัวไหล่ลงอุ้งเชิงกราน ถือเป็นอีกหนึ่งท่าที่อันตรายต่อการคลอด ทำให้คลอดยาก คลอดลำบาก และอาจต้องใช้ตัวช่วยในการคลอด หรือทำการผ่าคลอด
ปกติทารกจะต้องหันศีรษะลงอุ้งเชิงกราน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการคลอด แต่บางครั้งทารกอาจกลับหัวลงอุ้งเชิงกรานจริง แต่เงยหน้าผากลงสู่อุ้งเชิงกรานแทนที่จะเอาศีรษะลงเพียงอย่างเดียว ถือเป็นอีกหนึ่งท่าของทารกในครรภ์ที่ผิดปกติ และเพิ่มความเสี่ยงต่อการคลอด ทำให้คลอดยาก หรือต้องทำการผ่าคลอด
หากทารกอยู่ในท่าที่หันข้อศอก แขน หรือหัวไหล่ลงอุ้งเชิงกราน ลักษณะแบบนี้ถือเป็นภาวะผิดปกติขั้นรุนแรง และจัดเป็นภาวะฉุกเฉินที่จำเป็นต้องทำการผ่าคลอดโดยเร็ว เพื่อความปลอดภัยของทั้งแม่และทารก อย่างไรก็ตาม ท่าทางลักษณะนี้พบได้ไม่บ่อยนักค่ะ
โดยทั่วไปนั้น หากถึงกำหนดคลอดแล้ว แต่ทารกยังไม่ยอมกลับหัวลง แพทย์อาจวินิจฉัยให้ทำการผ่าคลอด แต่ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ ร่วมด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเด็กไม่ยอมกลับหัวและอยู่ในท่าที่ผิดปกติ ได้แก่
ขณะตั้งครรภ์ คุณแม่ควรใส่ใจกับเรื่องอาหารการกินมากเป็นพิเศษ เพื่อบำรุงสุขภาพของคุณแม่ให้แข็งแรง และเพื่อให้ทารกในครรภ์ได้รับโภชนาการที่เหมาะสมและเพียงพอต่อการเจริญเติบโต ทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะความพิการและความผิดปกติต่าง ๆ ในขณะตั้งครรภ์อีกด้วย
เพื่อสุขภาพการตั้งครรภ์ที่ดีคุณแม่ควรเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์และหลากหลาย ควรมีทั้งเนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ และธัญพืชต่าง ๆ ในปริมาณที่เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายของคุณแม่และทารกในครรภ์แข็งแรง
นอกจากนี้ คุณแม่ยังสามารถเสริมโภชนาการได้ด้วยนมสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์และให้นมบุตร เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนตามที่ร่างกายต้องการ ไม่ว่าจะเป็น ดีเอชเอ โฟเลต โคลีน และแคลเซียม ซึ่งล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ต่อสุขภาพของแม่และทารกในครรภ์ ช่วยป้องกันภาวะความเสี่ยงต่อสุขภาพของลูกน้อย ให้เติบโตและมีพัฒนาการที่สมวัยตั้งแต่อยู่ในครรภ์
ท่า Head First (ท่า HF) หรือ ทารกท่าหัว คือ ลักษณะที่ทารกกลับหัวลงสู่อุ้งเชิงกราน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการคลอด ท่านี้จะทำให้คลอดธรรมชาติได้ง่าย ใช้เวลาไม่นาน และคุณแม่เจ็บปวดน้อย แต่ก็อาจมีบางกรณีที่ท้ายทอยของทารกอยู่ในลักษณะขวาง อาจทำให้การคลอดธรรมชาติลำบาก หรือต้องทำการผ่าคลอดแทน
ท่า RSA (Right Sacrum Anterior) คือลักษณะที่ทารกหันก้นลงอุ้งเชิงกราน และหันหน้ากับลำตัวไปทางด้านขวาตามเข็มนาฬิกา ท่านี้จัดเป็นหนึ่งในท่าผิดปกติและต้องทำการผ่าคลอดเพื่อความปลอดภัยของแม่และทารกในครรภ์
ท่า LSA (Left Sacrum Anterior) คือท่าที่ทารกจะหันก้นลงอุ้งเชิงกราน และหันหน้ากับลำตัวไปทางด้านซ้ายทวนเข็มนาฬิกา นี่ก็เป็นอีกหนึ่งในท่าผิดปกติ ที่จะต้องทำการการผ่าคลอดเพื่อความปลอดภัยของแม่และทารกในครรภ์
ท้อง 32 สัปดาห์ ลูกอยู่ท่าขวาง อาจเป็นการพลิกตัวตามปกติของทารกในครรภ์ ที่มักจะชอบเปลี่ยนท่าไปมา วันนี้อาจจะนอนขวาง แต่เดี๋ยวก็เปลี่ยนกลับมานอนในแนวขนานตามปกติ
แต่ถ้าคุณแม่กลับมาตรวจครรภ์อีกครั้งในอายุครรภ์สัปดาห์ที่ 35-36 ขึ้นไป และพบว่าลูกยังนอนขวางอยู่ ซึ่งด้วยอายุครรภ์ใกล้คลอดแบบนี้ ทารกจะไม่เปลี่ยนท่าแล้ว เพราะพื้นที่ในมดลูกเหลือน้อยทำให้ไม่สามารถเปลี่ยนท่าได้อย่างอิสระ แพทย์อาจวินิจฉัยทำการผ่าคลอดเพื่อความปลอดภัยของแม่และทารกในครรภ์ค่ะ
หากทารกอยู่ในท่าที่กลับหัวเอาศีรษะลงสู่อุ้งเชิงกราน ในลักษณะดังต่อไปนี้ ถือเป็นท่าคลอดลูกที่ง่ายที่สุด ลดโอกาสเสี่ยงต่อการผ่าคลอด
Enfa สรุปให้ ใบอัลตราซาวนด์ จะมีข้อมูลรายละเอียดเกือบทั้งหมดที่เกี่ยวกับทารกในครรภ์ ตั้งแต่อายุค...
อ่านต่อEnfa สรุปให้ ท่าทารกในครรภ์ ในช่วงอายุครรภ์ก่อน 35 สัปดาห์ จะสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอด อาจจะนอนขว...
อ่านต่อEnfa สรุปให้ ท้องอ่อน ๆ ฉี่บ่อยแค่ไหน? คนท้องในไตรมาสแรกจะมีอาการปัสสาวะบ่อยเป็นปกติ โดยอาจปัสสา...
อ่านต่อ