Enfa สรุปให้
เลือกอ่านตามหัวข้อ
พัฒนาการทางสติปัญญาหรือการเรียนรู้ของมนุษย์นั้น มีด้วยกันหลายทฤษฎีที่ออกมาจำแนกและวิเคราะห์ถึงแนวทางในการเรียนรู้และวิธีพัฒนาสติปัญญาให้ก้าวหน้า
โดยหนึ่งในทฤษฎีที่ว่าด้วยเรื่องของพัฒนาการด้านสติปัญญาที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายนั่นก็คือ ทฤษฎีเพียเจต์ (Jean Piaget's theory) แต่ทฤษฎีนี้เป็นอย่างไร มีส่วนช่วยเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญาได้จริงหรือเปล่า
ฌอง เพียเจต์ (Jean Piaget) เป็นนักจิตวิทยาชาวสวิตเซอร์แลนด์ ในวัยเด็กของเพียเจต์นั้น ถือว่าเป็นเด็กที่มีความคิดความอ่านโตกว่าเด็กในวัยเดียวกัน โดยเพียเจต์ได้เริ่มตีพิมพ์บทความทางวิชาการเรื่องเกี่ยวกับนกกระจอกสีเผือกเมื่อมีอายุแค่เพียง 11 ปีเท่านั้นเอง
หลังจากนั้นเพียเจต์ก็ยังมีบทความวิชาการเกี่ยวกับสัตว์ออกมาอีกเรื่อย ๆ จนกระทั่งตัดสินใจเข้าศึกษาต่อทางด้านสัตววิทยา และได้รับดุษฎีบัณฑิตด้านสัตววิทยาจากมหาวิทยาลัยนอยชตัดท์ (Neustadt University) ในปี 1918
ภายหลังเพียเจต์หันมาให้ความสนใจทางด้านจิตวิทยามากขึ้น โดยเฉพาะความสนใจในกระบวนการที่เด็กได้มาซึ่งคำตอบของคำถามต่าง ๆ จนเกิดเป็นทฤษฎีอันโด่งดังอย่าง ทฤษฎีพัฒนาการด้านสติปัญญาและการคิดของเด็ก (Cognitive Development)
เพียเจต์มองว่ากระบวนการเรียนรู้ของเด็กนั้นเริ่มต้นมาจากการคิดรวมกับการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ และเด็กคือผู้ที่สร้างการเรียนรู้จากการรับข้อมูล ข่าวสาร และสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว ซึ่งเด็กจะทำความเข้าใจสิ่งเหล่านี้ด้วยตนเอง
ทฤษฎีเพียเจต์ คือ ทฤษฎีพัฒนาการด้านสติปัญญาและการคิดของเด็ก (Cognitive Development) ซึ่งเพียเจต์มองว่าเด็กทุกคนจะต้องผ่านขั้นตอนการพัฒนาทางสติปัญญาไปในแต่ละขั้นจนครบ จึงจะเข้าถึงระดับสติปัญญาของมนุษย์ที่ได้รับการพัฒนาแล้ว
โดยทฤษฎีของเพียเจต์นั้น จะแบ่งพัฒนาการทางสติปัญญาออกเป็น 4 ขั้น ดังนี้
ขั้นที่ 1 (Sensorimotor Stage) ประสาทการรับรู้และการเคลื่อนไหว (อายุ 0 – 2 ปี)
เป็นช่วงแรกสุดของการพัฒนาความรู้และความเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 คือ การมองเห็น การได้ยิน การสัมผัส การได้กลิ่น และการรับรส โดยในระยะนี้เด็กจะมีการตอบสนองต่อสิ่งต่าง ๆ แบบซ้ำ ๆ และเริ่มมีพฤติกรรมเลียนแบบเกิดขึ้น
ขั้นที่ 2 (Preoperational Stage) ขั้นเตรียมความคิดอย่างมีเหตุมีผล (อายุ 2 – 7 ปี)
เด็กวัยนี้จะเริ่มพูดเป็นคำและเป็นประโยคมากขึ้น แม้จะยังไม่เข้าใจในความซับซ้อนมากนัก แต่ก็มีความเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ เบื้องต้น และสามารถแยกแยะหรือแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้
แต่จะยังทำสิ่งต่าง ๆ ตามสัญชาติญาณอยู่ โดยไม่รู้ว่าทำไมถึงทำอย่างนั้น ไม่สามารถบอกถึงเหตุและผลเบื้องหลังการตัดสินใจนั้น ๆ ได้
ขั้นที่ 3 (Concrete Operation Stage) ขั้นความคิดที่มีเหตุผลและเป็นรูปธรรม (อายุ 7 – 11 ปี)
เด็กจะใช้สัญชาติญาณน้อยลง แต่จะเริ่มคิดอย่างมีหลักการมากขึ้น ใช้เหตุและผลในการทำสิ่งต่าง ๆ มากขึ้น หากต้องเลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ก็จะมีการคิด วิเคราะห์ มองหาความคุ้มค่าในสิ่งที่จะเลือกมาขึ้น สามารถที่จะเปรียบเทียบข้อดี ข้อเสีย หรือจำแนกสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างมีเหตุและผล
ขั้นที่ 4 ขั้นความคิดที่มีเหตุผลและเป็นนามธรรม (อายุ 12 ปีขึ้นไป)
เด็กเริ่มที่จะมีความคิดแบบผู้ใหญ่ คิดอย่างมีเหตุและผลมากขึ้น สามารถเข้าใจในสิ่งที่ไม่สามารถจับต้องได้ แต่รับรู้และแยกแยะสิ่งที่เป็นปรัชญาได้มากขึ้น
สามารถที่จะยกตัวอย่าง ประเมิน จำลองสถานการณ์ หรือคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นจากสถานการณ์หรือข้อมูลที่ได้รับ และเด็กจะเริ่มเป็นตัวของตัวเอง มีแนวคิดของตัวเอง หรือเชื่อในสิ่งต่าง ๆ อย่างมีเหตุและผลมากขึ้น
ทฤษฎีของเพียเจต์ จะถูกนำมาประยุกต์ใช้ผ่านกิจกรรมการเรียนและการสอนที่เหมาะสมกับวัยของเด็กว่าเด็กในวัยนี้ เหมาะสำหรับกิจกรรมแบบไหน ควรเล่นเกมอะไร เพื่อกระตุ้นและส่งเสริมทักษะด้านการคิดของเด็กให้มากขึ้น
เช่น ในเด็กเล็กก็จะเหมาะกับกิจกรรมวาดภาพระบายสี เกมทายคำศัพท์ กิจกรรมเล่านิทาน เป็นต้น โดยกิจกรรมเหล่านั้น จะต้องเป็นกิจกรรมที่เอื้อให้เด็กได้ใช้ทั้งทักษะความคิดสร้างสรรค์ มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มีการทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่น และได้แสดงออกถึงความเป็นตัวของตัวเองให้มากขึ้น
แม้ว่าทฤษฎีของเพียเจต์จะได้รับการพูดถึงอย่างกว้างขวาง แต่ก็ถูกมองว่ามีข้อบกพร่องด้วยเช่นกันค่ะ โดยถูกมองว่าเพียเจต์นั้นประเมินศักยภาพของเด็กวัยรุ่นสูงมากเกินไป และประเมินศักยภาพของเด็กทารกต่ำจนเกินไป
มากไปกว่านั้น ทฤษฎีของเพียเจต์ ยังถูกมองว่าละเลยเรื่องของสังคมและวัฒนธรรม ซึ่งต่างก็เป็นปัจจัยที่สำคัญต่อการพัฒนาสติปัญญาเช่นกัน
นอกจากนี้ ทฤษฎีของเพียเจต์ ก็ยังถูกมองว่ามีข้อบกพร่องในขั้นตอนการศึกษาวิจัย เพราะเพียเจต์ศึกษาแค่เพียงลูก ๆ ของเขาเท่านั้น ความหลากหลายของกลุ่มตัวอย่างจึงน้อยเกินไป
สิ่งสำคัญที่จะเป็นรากฐานให้เด็กพร้อมสำหรับการมีพัฒนาการทางด้านสติปัญญาที่ก้าวหน้า ควรจะต้องเริ่มต้นมาจากพื้นฐานของโภชนาการที่ดีค่ะ
เพราะถ้าเด็กได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ ก็จะช่วยให้เด็กมีร่างกายที่แข็งแรง และร่างกายที่แข็งแรงนี่แหละค่ะ ที่จะเป็นแรงผลักดันสำคัญให้เด็กพร้อมสำหรับทุกการเรียนรู้ สามารถที่จะทำกิจกรรมต่าง ๆ ตามวัยได้อย่างเต็มที่ ไม่มีสะดุด
โดยโภชนาการสำคัญขั้นแรกสุดสำหรับเด็กก็คือนมแม่ค่ะ เด็กควรจะได้กินนมแม่ต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือนแรกของชีวิต เพราะในนมแม่มีสารอาหารสำคัญที่พบได้ในนมแม่เท่านั้น คือ แลคโตเฟอร์ริน (Lactoferrin) และ MFGM (Milk Fat Globule Membrane)
ดังนั้น หากต้องการให้ลูกพร้อมสำหรับการเรียนรู้ที่รอบด้าน คุณพ่อคุณแม่อย่าลืมที่จะปูพื้นฐานความพร้อมให้ลูกน้อยตั้งแต่เนิ่น ๆ
เมื่อถึงวัยที่ลูกต้องกินอาหารตามวัย ก็ควรเน้นอาหารที่มีประโยชน์ ครบ 5 หมู่ ทั้งเนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ ธัญพืช นมและผลิตภัณฑ์จากนม และยังสามารถที่จะให้นมแม่ควบคู่กันต่อเนื่องได้ 1-2 ปีด้วยค่ะ
ทฤษฎีขั้นที่ 3 ของเพียเจต์ คือ ขั้นที่ 3 (Concrete Operation Stage) ขั้นความคิดที่มีเหตุผลและเป็นรูปธรรม (อายุ 7 – 11 ปี) โดยเพียเจต์มองว่า เด็กในช่วงวัยนี้จะใช้สัญชาติญานน้อยลง แต่จะเริ่มคิดอย่างมีหลักการมากขึ้น
มีการใช้เหตุและผลในการทำสิ่งต่าง ๆ มากขึ้น หากต้องเลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ก็จะมีการคิด วิเคราะห์ มองหาความคุ้มค่าในสิ่งที่จะเลือกมาขึ้น สามารถที่จะเปรียบเทียบข้อดี ข้อเสีย หรือจำแนกสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างมีเหตุและผล
ทฤษฎีของเพียเจต์และทฤษฎีของบรูเนอร์ แม้จะมีความคล้ายคลึงกัน แต่ก็มีความแตกต่างกันหลายประการ คือ
• บรูเนอร์มองว่าการพัฒนาความรู้และความเข้าใจของเด็กนั้นเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องกัน แต่เพียเจต์มองว่าการพัฒนาดังกล่าวมีลำดับขั้นตอน
• บรูเนอร์มองว่าภาษาคือบ่อเกิดของกระบวนการคิดและสติปัญญา แต่เพียเจต์มองว่าภาษาเป็นผลพวงมาจากการพัฒนาความคิดและสติปัญญา
• บรูนเนอร์มองว่าสังคมและวัฒนธรรมมีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาความคิดและสติปัญญา แต่เพียเจต์ไม่ค่อยให้น้ำหนักในเรื่องดังกล่าวมากนัก
• ทฤษฎีของเพียเจต์มี 4 ขั้นตอน ขณะที่เพียเจต์บรูนเนอร์มองกระบวนการพัฒนาสติปัญญาไว้แค่เพียง 3
ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นที่ 1 Enactive representation
(การแสดงความคิดด้วยการกระทำ)
ขั้นที่ 2 Iconic representation
(ขั้นการคิดจากสิ่งที่มองเห็น)
ขั้นที่ 3 Symbolic representation
(ขั้นการคิดโดยใช้สัญลักษณ์หรือภาษา)
• เพียเจต์มองว่ากระบวนการพัฒนาทั้งสี่ขั้นนั้นจะเกิดขึ้นแค่ในช่วงวัยเด็กเท่านั้น จะไม่พัฒนาต่อเนื่องในตอนโต แต่บรูนเนอร์มองว่ากระบวนการพัฒนาสติปัญญาของเขานั้น เป็นกระบวนการคิดและการเรียนรู้ที่จะจะคงอยู่ไปตลอดตั้งแต่เด็กจนตาย
Enfa สรุปให้ สมองด้านอารมณ์ของเด็ก 1 ขวบจะพัฒนาสูงมาก ทำให้เด็กวัยนี้สามารถแสดงออกทางอารมณ์ออกมา...
อ่านต่อEnfa สรุปให้: การส่งเสริมให้เด็กได้ค้นพบศักยภาพของตนเอง ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำค...
อ่านต่อEnfa สรุปให้ MQ หรือ Moral Quotient คือ ความฉลาดทางศีลธรรม หรือการมีจริยธรรมอันดี รู้จักเห็นอกเห...
อ่านต่อ